อี-คลาส ปลั๊ก-อินไฮบริด โดนบังคับขายแต่ก็น่าใช้

12 ส.ค. 2560 | 03:47 น.
ช่วงที่เมืองไทยกำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์ ถือว่าน่าสนใจ และกลายเป็นเรื่องที่น่าติดตามครับ เพราะจะมีผลโดยตรงต่อการเลือกซื้อรถคันใหม่ การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนแนวคิดวิธีการขาย และบริการหลังการขายของบริษัทรถยนต์

MP3673285-3A ...เรียกว่าขยับกระ บวนการกันตั้งแต่ต้นนํ้าถึงปลายนํ้า ตามการสนับสนุนของรัฐบาล ขณะที่พี่ใหญ่ในตลาดแมสอย่าง“โตโยต้า” เตรียมมาเต็มกับรถไฮบริดรุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่ อนาคตมีให้เลือกหมด ส่วนเจ้าพ่อรถหรู “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ทุกวันนี้ในกลุ่มคอนเทมโพรารี ซี, อี, เอส-คลาส ตัวถังซาลูน รุ่นประกอบในประเทศ (CKD) มีขายแต่ปลั๊ก-อินไฮบริด (ส่วนบีเอ็ม ดับเบิลยูในกลุ่มเดียวกัน ยังมีเครื่องยนต์ดีเซลเป็นทางเลือก)

ทั้งนี้ ศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างโฉมใหม่ของ อี-คลาส W213 กับ ซีรีส์5 G30 คงต้องดูกันยาวๆ แต่ช่วงนี้เหมือนฝ่ายแรกจะมาแรงกว่านิดๆด้วยจังหวะการเปิดตัว(CKD) ราคา และเทคโนโลยี พร้อมทางเลือกตัวถังที่หลากหลาย

MP3673285-4A สำหรับอี-คลาส เพิ่งส่งรุ่นปลั๊ก-อิน ไฮบริด E350e ประกอบในประเทศลงตลาดเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย คือตัวท็อป AMG Dynamic ราคา 4.09 ล้านบาท Exclusive 3.79 ล้านบาท และ Avantgarde ที่ผมนำมาลองขับราคา 3.49 ล้านบาท

MP3673285-2A โดยออพชันที่ขาดไปสำหรับรุ่นเริ่มต้น เมื่อเทียบกับตัวท็อป (ราคาต่างกัน 6 แสนบาท) ที่เห็นได้ชัดคือ ชุดแต่งภายนอก-ภายใน ล้ออัลลอย 19 นิ้ว ชุดไฟหน้าอัจฉริยะ MULTIBEAM LED 84 หลอด หลังคาแก้วพาโนรามิก ชุดเครื่องเสียง Burmester จอแสดงผลบนกระจกบังลมหน้า Head-up Display เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าเน้นที่สมรรถนะผมว่าไม่ต่างกันมาก ส่วนหนึ่งเพราะช่วงล่วงแบบถุงลม(AIRMATIC) ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ จัดเป็นมาตรฐานครบทุกรุ่นย่อย

ต้องแยกกันให้เข้าใจครับ สำหรับรถแบบปลั๊ก-อินไฮบริด ที่ให้เราเลือกได้ทั้งในส่วนของสมรรถนะการขับขี่คือ อีโค นอร์มอล สปอร์ต และสปอร์ต พลัส ที่จะปรับการตอบสนองของเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง และการควบคุม กับอีกส่วนคือการทำงานของขุมพลังที่แบ่งเป็นโหมดไฮบริด ไฟฟ้าล้วน(E Mode) และโหมดกำหนดการชาร์จ และกักเก็บพลังงานของแบตเตอรี

ซึ่งการใช้งานในบางโหมดมันจะขัดแย้งกันเอง เช่น คุณต้องการความเร้าใจในโหมดสปอร์ต รถจะวางการสั่งงานนี้เป็นตัวตั้ง ดังนั้นก็ไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนได้

MP3673285-1A นอกจากนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์เคลมว่าการชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง E350e สามารถวิ่งด้วยพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ได้ 33 กม. ทว่าจากการลองของผมบนถนนในกรุงเทพ โดนอากาศร้อน รถติดพอสมควรในเวลาบ่าย แต่บางช่วงพอจะเร่งความเร็วไปถึง 80-100 กม./ชม. สุดท้ายรถวิ่งในโหมดไฟฟ้าจริงๆ ได้ระยะทางประมาณ 20 กม.ภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง

ส่วนสมรรถนะการขับขี่ในโหมดไฟฟ้า ที่ใช้พลังจากมอเตอร์อย่างเดียวไม่อืดครับ แรงบิดระดับ 440 นิวตัน-เมตร วิ่งเนี๊ยบ เงียบ นิ่ง เหนืออื่นใดในโหมดไฮบริด การทำงานระหว่างเครื่องยนต์ มอเตอร์ไฟฟ้า และเกียร์ 9 สปีด ราบรื่นไร้รอยต่อ

MP3673285-5A ด้านวิศวกรรมโครง สร้าง เมอร์เซเดส-เบนซ์วางชุดแพกแบตเตอรีเอาไว้บนเพลาหลัง จึงเสียพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังไปเล็กน้อย และไม่เหลือที่ว่างให้ยางอะไหล่ ดังนั้นจึงเลือกใช้ยางแบบรันแฟลต ซึ่งการขับขี่ก็ไม่รู้สึกถึงความกระด้าง แน่นอนว่าระบบช่วงล่างแบบถุงลมยังช่วยประนีประนอมตรงนี้ได้เยอะ (และยางยังใหม่) ขับนุ่มสบาย ไร้อาการสะท้าน
รวบรัดตัดความ...ช่วงขาขึ้นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำอะไรดูดีไปหมด ตรงนี้สะท้อนผ่านภาพลักษณ์ของแบรนด์และยอดขาย ซึ่งรถกลุ่มปลั๊ก-อินไฮบริด ถือเป็นอาวุธใหม่ที่ค่ายเยอรมันใช้ไทยเป็นฐานผลิตจริงจัง จึงมุ่งหวังให้คนเข้ามาสู่เทคโนโลยีนี้มากที่สุด ตัวรถอัจฉริยะคิด วิเคราะห์ แยกแยะ การขับขี่ไว้ให้หมดแล้ว เราเพียงปรับตัวให้เข้ากับมัน แต่ถ้าคิดว่าลำบากใช้และเป็นห่วงในระยะยาวหรือลึกๆยังชอบเครื่องยนต์สันดาปภายในมากกว่า คงต้องมองหาทางเลือกอื่น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,286 วันที่ 10 -12 สิงหาคม พ.ศ. 2560