บิ๊กเนมกังวลครึ่งปีหลัง ร่นรอบก่อสร้าง-พัฒนาสินค้า-สื่อสารตรงจุด

10 ส.ค. 2560 | 23:29 น.
แม้สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัญหาหนี้สินต่อครัวเรือนจะไม่สามารถทำอะไรผู้ประกอบการรายใหญ่ตลาด หลักทรัพย์ฯได้ ซึ่งดูได้จากยอดขายของหลายๆบริษัทในช่วงครึ่งแรกปี 2560 ที่พบว่ามียอดเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ไม่ได้หมาย ความว่าจะประมาทกับปัญหาดังกล่าวได้

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัญหาเรื่องหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังคงเป็นปัจจัยลบของผู้ประกอบการอสังหาริม ทรัพย์ แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทให้วิธีร่นรอบการพัฒนาโครงการแนวราบอย่างทาวน์เฮาส์ให้สั้นลง จากปัจจุบัน 45 วัน เหลือน้อยกว่า 45 วัน

นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินงานสอดรับกับแผนการเติบโตของบริษัทในภาวะที่ตลาดชะลอตัว จึงมีความจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินงานรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น ลูกค้าอยากได้บ้านขนาด 3 ห้องนอน ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวก็จะมีราคามาก กว่า 5 ล้านบาท ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ บริษัทจึงพัฒนาเป็นทาวน์เฮาส์ แบบ 3 ห้องนอนแทน แต่ได้ฟังก์ชันแบบบ้านเดี่ยว ซึ่งก็เป็นการตอบโจทย์ความต้องการในราคาเพียงกว่า 3 ล้านบาทเท่านั้น

สำหรับกลยุทธ์ด้านการตลาด ก็ปรับมาใช้สื่อโฆษณาที่เป็นออนไลน์เพิ่มมากขึ้น แทนสื่อโฆษณาแบบบิลบอร์ด เนื่องจากเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรงและมีความรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถวัดผลได้ดีกว่า ซึ่งจะดูได้จากยอดคลิก ทำให้ในปี 2560 บริษัทได้เพิ่มสัดส่วนการทำโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์เป็น 50% จากเดิม 20%

M33-3286-1a “นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 เป็นต้นมา บริษัทมียอดขายเฉลี่ยเดือนละ 100 ล้านบาท ล่าสุดในเดือนกรกฎาคมมียอดขายอยู่ที่ 120 ล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความต้องการที่อยู่อาศัย แต่เมื่อถึงขั้นตอนการโอนกลับพบว่ามีลูกค้าที่ไม่สามารถโอนได้คิดเป็นสัดส่วนที่ 30% โดย 25-26% มาจากการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน ที่เหลือมาจากตัวลูกค้าเอง” นายกิตติพล กล่าว

ด้าน นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการปรับคาดการณ์ว่าจีดีพีปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นจาก 3.2% เป็น 3.5% โดยปัจจัยหลักเป็นเรื่องการลงทุนภาครัฐ รวมถึงภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่มีการขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนภาคลงทุนเอกชนและการบริโภคนั้นยังคงไม่เติบโตเท่าที่ควร

ขณะที่สถานการณ์หนี้ยังมีความน่ากังวล ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ แม้ว่าในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี 2560 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลดลงเหลือ 78.6% แต่สินเชื่อกลุ่มที่อยู่อาศัยขยายตัวแบบชะลอตัว สวนทางกับสัดส่วนหนี้เสียของภาคที่อยู่อาศัย (housing NPLs) ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 3.23% ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ส่งผลต่อความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไม่สามารถวางแผนการใช้เงินอนาคต

แม้ว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อของ 2 สถาบันการเงินใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จะลดลงจากปี 2559 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 40-45% มาอยู่ในระดับ 34-40% ก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูง ในส่วนของบริษัทมียอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารเฉพาะแนวราบในช่วงครึ่งปีแรก เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สัดส่วนใกล้เคียงเดิมที่ประมาณ 10%

แต่เมื่อพิจารณาในแต่ละระดับราคา พบว่า กลุ่มบ้านระดับราคามากกว่า 15 ล้านบาท นิยมชำระด้วยเงินสดสูงถึง 50% สูงกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอดปฏิเสธสินเชื่อลดลงเหลือ 8.1% จากเมื่อปี 2559 อยู่ที่ระดับ 8.8% แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความสามารถในการใช้เงินอนาคตลดลง ดังนั้นจึงใช้เงินในปัจจุบันซื้อ สำหรับกลุ่มที่น่ากังวลเป็นสินค้าในกลุ่ม 3-5 ล้านบาท ที่มียอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นจาก 11.4% เป็น 13.2%

“กลยุทธ์ที่เรานำมาใช้เพื่อลดปัญหายอดรีเจ็กต์ถือ การสร้างสินค้าพร้อมขาย พร้อมโอนให้มากขึ้น ประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนโอน เพื่อลดช่วงเวลาในการก่อหนี้ของลูกค้า” นายณัฐพงศ์ กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,286 วันที่ 10 -12 สิงหาคม พ.ศ. 2560