กสอ. ชี้ปี 60 สตาร์ทอัพยังแรงมีรายใหม่กว่า 800 ราย

14 ก.ค. 2560 | 05:19 น.
 

กสอ.ระบุธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมอย่ างต่อเนื่อง  ชี้ปี 60 จะมีผู้ประกอบการเกิดใหม่กว่า 800 ราย  พร้อมแนะกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพ 5 ข้อที่ต้องคำนึงถึง

นายพสุ  โลหารชุน  อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม  เปิดเผยว่า  ในช่วงระยะ 2 – 3 ปีที่ผ่านมานี้  แนวความคิดการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาผู้ ที่มีไอเดีย กล้าคิด กล้าฝัน และมีความต้องการที่จะผันตัวเป็นผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและถือเป็นสัญญาณที่ต้องจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเกิดขึ้นของกลุ่มดังกล่าวนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงรูป แบบการดำเนินธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการสร้างโมเดลธุรกิจเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคที่กำลังผันแปรและต่อยอดไ ปสู่เชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงไ ด้

[caption id="attachment_179470" align="aligncenter" width="335"] นายพสุ  โลหารชุน  อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม[/caption]

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจดิจิทัลสตาร์ทอัพในประเทศไทยโดยรวมแล้วนับว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ระดับเริ่มสร้างระดับกำลังเติบโต และระดับที่สามารถสร้างรายได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ในภาพรวมก็ยังถือว่าอยู่ ในช่วงพัฒนาความพร้อมทั้งในด้านระบบนิเวศหรือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการคิดค้นและประกอบธุรกิจดิจิทัลสตาร์ทอัพใหม่ ๆการพัฒนาไอเดียที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์ การนำเสนอแผนงานเพื่อการสนับสนุนการร่วมทุน ตลอดจนการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในยุคที่ระบบดิจิทัลกำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งและเข้ามาเป็นปัจจัยที่ 5 อย่างที่ปฏิเสธไมได้

สำหรับสถานการณ์ของประเทศไทยในปี  2560 และในอนาคตการดำเนินธุรกิจสตาร์ ทอัพนับว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจใน การลงทุนอย่างสูง ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคในปัจจุ บันเริ่มมองหาสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นและความแปลกใหม่ในสินค้ าและการบริการมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจเทคสตาร์ทอัพ (สตาร์ทอัพด้านระบบเทคโนโลยีและ ซอฟต์แวร์) ที่คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยขณะนี้หลากหลายธุรกิจ อุตสาหกรรมและผู้บริโภคได้เริ่ม มีทั้งการปรับตัว วิธีในการดำเนินงาน และวิถีการดำเนินชีวิตให้เข้ากับระบบเทคโนโลยีและดิจิทัลที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ไว้ว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจดังกล่าวอาจมีมูลค่าราว 37,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1.33 ล้านล้านบาท (ที่มา : รายงานระหว่างกูเกิลและเทมาเซ็ก เกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจดิจิทัลใ นประเทศไทย) ยิ่งไปกว่านั้น มีความเป็นไปได้สูงอีกว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ตลาดดิจิทัลจะทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดยเฉพาะจากการเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ บริการแอปพลิเคชัน ธุรกิจซื้อขายออนไลน์ ตลอดจนแพลตฟอร์มและสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่จะเข้ามามีบทบาทในพฤติกรรมการดำเนินชีวิตจนเป็นปัจจัยที่ 5 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้  ในปี 2560 นี้ กสอ.ก็ยังคงมุ่งมั่นในการสร้างก ลุ่มเหล่านี้ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเพิ่มเติมทั้งกิจกรรมแล ะโครงการการสนับสนุนเพื่อให้สอด คล้องกับนโยบายThailand 4.0 และแผนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยระบบ ดิจิทัลอย่างเข้มข้น ทั้งด้วยมาตรการการสนับสนุนด้าน ระบบนิเวศ (Co-Working Space) ที่เหมาะสมต่อการสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ ๆ การจัดกิจกรรมสนับสนุนเงินทุนในรูปแบบต่างๆ การเติมเต็มไอเดียสู่การวางแผนธุรกิจให้น่าสนใจและเกิดขึ้นจริงได้ ตลอดจนการเขียนแผนธุรกิจและการเงินเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าตามเป้าหมาย  ซึ่งจากโครงการและกิจกรรมเพื่อการส่งเสริมในปี 2559 ที่ผ่านมาสามารถสร้างผู้ดำเนินธุรกิจในรูปแบบสตาร์ทอัพได้ถึง 590 ราย (ที่มา: สำนักพัฒนาผู้ประกอบการ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม) โดยในปี 2560 ยังได้ตั้งเป้าผลักดันให้เกิดผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าวนี้อีกไม่ต่ำกว่า 800 ราย หรือเพิ่มขึ้น 36 % ซึ่งคาดหวังให้มีกลุ่มสตาร์ทอัพ ที่ครอบคลุมหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอาหาร เกษตร และเทคโนโลยีชีวภาพกลุ่มสาธารณสุขและเทคโนโลยีการแพทย์ กลุ่มหุ่นยนต์อัจฉริยะและระบบเค รื่องกล กลุ่มเทคโนโลยีพลังงาน ตลอดจนกลุ่มดิจิทัล และระบบอินเทอร์เน็ตเชื่อมต่อ

ดร.พสุ เยี่ยมชมการทำงานของสตาร์ทอัพ

นายพสุ กล่าวต่อไปอีกว่า  กสอ.ได้รวบรวมกลยุทธ์ที่สำคัญในการก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพ 5 ข้อ สำหรับผู้ที่มีเป้าหมาย มีความคิดสร้างสรรค์ และความมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจสตาร์ทอัพ ได้แก่  1.ต้องทำสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือพัฒนาแล้วแต่ยังไม่ตอบโจทย์  โดยผู้ประกอบการจะต้องสร้างสินค้าหรือการบริการที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคได้ ทดลองใช้และเกิดความรู้สึกประทับใจ ต่อยอดไปจนถึงการทำให้รู้สึกว่า สินค้าและการบริการนั้นๆมีความจำเป็นจนกระทั่งเกิดความ จงรักภักดีและขาดบริการหรือสินค้าเหล่านั้นไม่ได้

,2.ต้องสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงใจผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคกลายเป็นผู้ มีอำนาจอย่างเต็มที่ในการตัดสิ นใจซื้อหรือที่เรียกกันว่า Empowered Customer  , 3. ต้องต่อยอดจากธุรกิจเดิมและเติม ประโยชน์รองรับความต้องการใหม่ ปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่สตาร์ทอั พต้องมีและต่างจากธุรกิจแบบเดิม ๆ ,4. ต้องใช้เทคโนโลยีหรือระบบออนไลน์ ให้เป็นประโยชน์  โดยเทคโนโลยีถือเป็นต้นทุนประเภทหนึ่ง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเสียเงินน้อยที่สุด ทั้งยังแสดงให้ผู้บริโภคเห็นถึง ความสะดวก เห็นภาพลักษณ์ที่ดีและความทันสมั ยของธุรกิจ ช่วยทำให้วิธีการทำงานเดิมมีความหลากหลายๆ และง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

และ5.ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ที่แหวกแนวไม่เหมือนใคร ซึ่งสำหรับกลยุทธ์ข้อดังกล่าวนี้ ถือได้ว่าเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของการก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัพ เนื่องจากการที่ผู้บริโภคมองหาความแปลกใหม่อย่างไม่จำกัดถือเป็นช่องทางให้เกิดการสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ ขึ้นมาได้อย่างไม่รู้จบ