เปินแผนกลุ่มธุรกิจเครื่องสำอาง-แฟชั่น เครือสหพัฒน์ 5 ปียังเติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าปรับระบบซัพพลายเชน พร้อมลุยตลาดออนไลน์ หวังสร้างพอร์ตเพิ่ม ไอ.ซี.ซี.ฯ เตรียมลุยเพื่อนบ้าน โอซีซี พัฒนาสินค้าขายลาซาด้า บูติกนิวซิตี้ ขยายพอร์ตลูกค้าองค์กร ด้านนิวซิตี้ ปรับสู่ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าเพิ่ม
นายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการและรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น กล่าวภายในงานนักวิเคราะห์ นักลงทุนพบกลุ่มสหพัฒน์ ครั้งที่ 9 ปี 2560 ภายในงานสหกรุ๊ปแฟร์ครั้งที่ 21 ที่ผ่านมาว่า สถานการณ์ธุรกิจยังอยู่ในภาวะทรางตัว เนื่องจากผู้บริโภคไม่มีอารมณ์จับจ่ายใช้สอย โดยการเติบในอีก 5 ปีข้างหน้าก็ไม่น่าจะหวือหวา แต่มีโอการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการบริหารซัพพลายเชน และการพัฒนาสินค้า รวมถึงการทำตลาดออนไลน์ ที่จะเป็นธุรกิจผลักดันให้บริษัทมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ และยังมีตลาดประเทศเพื่อนบ้านที่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำตลาดอย่างจริงจัง
“การทำตลาดออนไลน์ได้เริ่มทดลองแล้ว บางแบรนด์ก็เติบโตดี และบางแบรด์ตัวเลขยังไม่ดี แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่ดี ซึ่งสินค้าที่จำหน่ายในออนไนลน์แตกต่างจากร้านค้า เพราะคนซื้อสินค้ามีความแตกต่าง ซึ่งเราได้คิดทำตลาดเองรวมถึงหาความรู้จากคู่ค้าบ้าง ตอนนี้บริษัทมีการปรับปรุงกระบวนการออกสินค้า ที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลการขายอย่างเดียว แต่ใช้ข้อมูลทางด้านการตลาดมาประกอบด้วย เพราะต้องทำให้สินค้าเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค และไปถึงมือให้เร็วที่สุด จึงมีการพัฒนาทั้งแวร์เฮ้าส์และระบบซัพพลายเชนทั้งหมด ภายในปีที่ 4-5 น่าจะเห็นผลการเติบโตชัดเจน”
ขณะที่นางธีรดา อำพันวงษ์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โอซีซี จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายเครื่องสำอางในเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางการแข่งขันสูง เนื่องจากมีแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดจำนวนมากและเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทมีทั้งแบรนด์ที่ผลิตขึ้นเองและแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ ที่จะต้องปรับตัวและแข่งขันให้ได้ โดยดูกระแสและเทรนด์แฟชั่น รวมถึงส่วนผสมที่นำมาเป็นวัตถุดิบ ที่จะต้องปรับตัวให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับตัวทุกรูปแบบ
“ตลาดออนไลน์บริษัทก็ให้ความสำคัญ ทั้งในส่วนของบริษัทเองและในส่วนของช่องทางออนไลน์คนอื่นที่ได้เข้าไปร่วม อย่างล่าสุดเครือสหพัฒน์ที่ได้จับมือกับลาซาด้า บริษัทก็กำลังคัดเลือกสินค้าและพัฒนาตลาดร่วมกัน สัดส่วนสินค้ายังไม่มากแต่มีแนวโน้มที่ดี อีก 1-2 ปีน่าจะเห็นตัวเลขเติบโตที่ดี นอกจากนี้ นังมีการพัฒนช่องทางการตลาดใหม่ การทำตลาดกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาก็มียอดสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแบรนด์เคเอ็มเอ ส่วนการเติบโตในอีก 5 ปีข้างหน้า บริษัทคงต้องอิงไปกับตลาด เติบโตจากผลิตภัณฑ์ใหม่ และตั้งเป้าโต 10% ทุกปีแต่ที่ผ่านมาตัวเลขยังทรงตัว”
นางประวรา เอครพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท บูติค นิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นสตรี กล่าวว่า ปัจจุบันเครื่องแต่งกายเป็นปัจจัย 4 ที่ทุกคนต้องแต่งกาย แต่ยังมีความยากในการทำธุรกิจ คือ มีผู้เล่นในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มสินค้าราคาถูกและราคาแพง แต่ยังคงเน้นเรื่องคุณภาพสินค้า ทำให้สามารถรักษาการเติบโตไว้ได้ ขณะเดียวกันยังได้ขยายตลาดไปยังธุรกิจรับออกแบบเสื้อผ้าองค์กร โดยมีฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มสถาบันการเงิน เนื่องจากใช้จุดแข็งจากประสบการณ์ของบริษัทที่รู้รูปร่างของคนไทย ทำให้มีขนาดให้ลูกค้าเลือกมาก 50-60 ขนาด
อย่างไรก็ตาม ในการรับมือกับภาวะการแข่งขันและรักษาอัตรากำไร บริษัทยัคงเน้นราคาที่สามารถแข่งขันได้ ด้วยการบริหารงานภายในเพื่อลดต้นทุนการจัดการต่างๆ การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่นอกจากการขายสินค้าให้กลุ่มองค์กร ในส่วนช่องทางรีเทลก็มีการพัฒนาในทุกรูปแบบ รวมถึงการพัฒนาช่องทางออนไลน์ เพื่อสื่อสารถึงลูกค้าได้โดยตรง การเติบโตนับจากนี้ใน 5 ปียังคงวางการเติบโตต่อเนื่อง แต่จะต้องสร้างธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งและมั่นคงด้วย
ส่วนนายพิภพ โชควัฒนา รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท นิวซิตี้ (กรุงเทพฯ) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงน่อง ถุงเท้า และสินค้าแฟชั่น กล่าวว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากมีสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด ซึ่งสินค้าใหม่มีอัตราการเติบโต 30-40% แต่ประสบภาวะตลาดชะลอตัวช่วงปลายปี ส่วนในปีนี้ได้วางกลยุทธ์เพื่อผลักดันการเติบโตด้วยการขยายช่องทางการขายหลากหลาย ทั้งกลุ่มยี่ปั๊วซาปั๊ว ช่องทางค้าปลีก และอีคอมเมิร์ซ แต่อาจจะต้องมาดูว่าช่องทางไหนจะเติบโตได้ดี สำหรับช่องทางออนไลน์ปัจจุบันยังยังไม่ส่งผลชัดเจน แต่มีแนวโน้มที่ดีจากเทรด์ผู้บริโภคที่ใช้สมาร์ทโฟนจำนวนมาก
“ปัจจุบันภาวะการแข่งขันมีสูง ธุรกิจถุงน่องก็เป็นวัฎจักร การขยายมีขึ้นมีลง ทำให้บริษัทปรับตัวเองเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้ามากขึ้น การรับเป็นดิสทริบิวเตอร์ มีการนำสินค้าเกาหลีเข้ามาขาย สินค้าจากเมียนมา แบรนด์บีลีฟ ทานาคา ที่มีตัวเลขยังเติบโตได้ดี มีสัดส่วน 30% ของยอดขายที่ขายมา 3 ปีแล้ว อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 บริษัทยังคงเติบโตในอัตราเลขตัวเดียว ยกเว้นว่าจะมีสินค้าใหม่ที่มีอัตราการเติบโต 30-40% มาช่วยผลักดันยอดขาย”