CK เผยศาลยกฟ้องคดีกทพ.ไม่กระทบ ตั้งสำรองหนี้เต็ม

29 มิ.ย. 2560 | 02:53 น.
ช.การช่าง เผยศาลฎกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องคดีของกิจการร่วมคา บีบีซีดี เรียกร้องค่าเสียหายการทางพิเศษฯ ทางด่วนบางนา-บางพลี-บางปะกง

ดร.อนุกูล ตันติมาสน์ กรรมการ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2560 ศาลฎีกาได้มีคำพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องคดีของกิจการร่วมค้า บีบีซีดี ซึ่งประกอบด้วย บิลฟิงเกอร์ เบอร์เกอร์ เอจี (สัดส่วนการร่วมค้า 40%), บริษัท ช.การช่าง (สัดส่วนการร่วมค้า 35%) และวัลเทอร์เบา เอจี (สัดส่วนการร่วมค้า 25%) ที่ได้ฟ้องเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ตามสัญญาจ้างเหมาออกแบบรวมก่อสร้างโครงการทางด่วนสายบางนา-บางพลี-บางปะกง

อย่างไรก็ตาม ผลของคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่องบการเงินของบริษัทฯ แต่ประการใด เนื่องจากกิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้มีการบันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเต็มจำนวนไว้ตั้งแต่ปี 2549 แล้ว ขณะนี้ กิจการร่วมค้า บีบีซีดี อยู่ในระหว่างการพิจารณาในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2543 กิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้เรียกร้องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (ผู้ว่าจ้าง) ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดให้ฝ่ายผู้ว่าจ้างจ่ายเงินค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยแก่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี โดยกิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้บันทึกจำนวนเงินดังกล่าวเป็นสินทรัพย์และรายได้ในงบการเงินสำหรับปี 2544 ซึ่งตามสัดส่วนของบริษัทฯ ที่มีในกิจการร่วมค้า คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามเนื่องจากความล่าช้าในการชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าว กิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้ยื่นฟ้องผู้ว่าจ้างต่อศาลแพ่งเพื่อบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2546 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยให้ผู้ว่าจ้างชำระเงินแก่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ

ต่อมาวันที่ 15 ก.พ.2550 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลแพ่งที่บังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในการให้ผู้ว่าจ้างชำระเงินให้แก่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี กิจการร่วมค้า บีบีซีดีจึงได้บันทึกค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเต็มจำนวนสำหรับลูกหนี้เงินชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นค่าใช้จ่ายในกำไรหรือขาดทุนสุทธิสำหรับปี 2549 ซึ่งตามสัดส่วนของบริษัทฯ ที่มีในกิจการร่วมค้า คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 2,500 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 11 ก.พ.2551 กิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้ยื่นฟ้องผู้ว่าจ้างต่อศาลแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี ได้ใช้จ่ายไปคืนจากผู้ว่าจ้างในฐานลาภมิควรได้ รวมเป็นเงินค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยคำนวณจนถึงวันฟ้องจำนวนเงินประมาณ 3,400 ล้านบาท (ตามสัดส่วนของบริษัทฯ ที่มีในกิจการร่วมค้า)

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 15 ก.ย.2554 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาให้ผู้ว่าจ้างชำระเงินให้แก่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี จำนวน 1,750 ล้านบาท (ตามสัดส่วนของบริษัทฯ ที่มีในกิจการร่วมค้า) พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 15 ก.พ.2550 เป็นต้นไป จนกว่าผู้ว่าจ้างจะชำระหนี้ให้แก่กิจการร่วมค้า บีบีซีดี เสร็จสิ้นและเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2556 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษากลับให้ยกฟ้องของกิจการร่วมค้า บีบีซีดี