บล.กสิกรไทยมองศก.ไทยทั้งปีโต 3.3% แรงหนุนจากลงทุนรัฐ-ท่องเที่ยว-ส่งออก

28 มิ.ย. 2560 | 11:45 น.
บล.กสิกรไทย มองการฟื้นตัวในครึ่งปีหลังจะมาจากการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยว และการส่งออก ดันจีดีพีทั้งปียังโตได้ในกรอบ 3.3-3.5% ขณะที่การลงทุนเอกชน-บริโภคเอกชนยังชะลอเหตุส่งออกกระจุกตัว ค่าจ้างไม่โต

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน ) มองทิศทางเศรษฐกิจโลกครึ่งปีหลังความผันผวนหลักจากฝั่งสหรัฐอเมริกา ประเด็นนโยบายทางการคลังของสหรัฐ ฯที่ยังคงสร้างความไม่แน่นอนในตลาด เช่นการเจรจาเรื่องเพดานหนี้สหรัฐช่วงสิ้นเดือนกันยายน 2560 และมาตรการด้านภาษีและงบประมาณของทรัมป์ ขณะเดียวกันตลาดแรงงานที่ฟื้นตัวและระดับหนี้ครัวเรือนล่าสุดที่สูงกว่าก่อนช่วงวิกฤติซับไพร์ม น่าจะทำให้เฟดยังคงส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในระยะต่อไป และยังคงคาดการณ์ในเรื่องการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปเช่นกัน ในส่วนของการประกาศเริ่มปรับลดขนาดงบดุล น่าจะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวังในช่วงสิ้นปี 2560

ด้านธนาคารกลางยุโรป ( ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น ( BOJ ) คาดยังไม่น่ารีบปรับทิศทางนโยบายทางการเงินให้ตึงตัวขึ้นภายในสิ้นปีนี้ แม้ว่าทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวมากขึ้นแต่อัตราเงินเฟ้อยังไม่ฟื้นตัว สำหรับมุมมองต่อราคาน้ำมันคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างจำกัด โดยมีปัจจัยกดดันจากข้อตกลงในการขยายกรอบเวลาปรับลดปริมาณการผลิตของกลุ่มประเทศโอเปก ( OPEC ) และนอกกลุ่มโอเปก ( Non –OPEC ) ที่เป็นเพียงการซื้อเวลา และกำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว

35514 ในส่วนของสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ยังคงมุมมองการฟื้นตัวที่ค่อนข้างช้าในอุปสงค์ภายในประเทศ ด้วยจำนวนคนว่างงานที่พุ่งสูงขึ้น 25 % ในช่วง 4 เดือนแรกของปี เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จึงคาดว่าการฟื้นตัวของค่าจ้างนอกภาคเกษตรจะยังคงเป็นไปอย่างช้า ๆและจะยังคงเป็น Missing Link ระหว่างการฟื้นตัวของการส่งออกที่กระจุกตัวและการบริโภคที่อ่อนแอ ตัวเลขยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่เติบโตได้ดีในช่วง 4 เดือนแรกของปี อาจไม่ใช่สัญญาณการฟื้นตัวของกำลังซื้อในประเทศ เนื่องจากเป็นตัวเลขที่ออกจากโรงงานไปสู่ดีลเลอร์ ซึ่งมีทิศทางต่างกับตัวเลขจดทะเบียนรถยนต์นั่งที่ยังคงเติบโตค่อนข้างช้า

P1100426 การลงทุนภาครัฐจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ Backlog ที่มีในมือยังเพียงพอที่จะกระตุ้นให้การลงทุนภาครัฐเติบโตขึ้นในระดับ 10 % แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาจะมีการอนุมัติและการประมูลของภาครัฐ แต่คาดว่ารัฐบาลจะใช้มาตรา 44 เป็นเครื่องมือหลักในการปลดล๊อคข้อติดขัดของโครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆทำให้มีการอนุมัติและประมูลโครงการมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2560 ถึงครึ่งปีแรก 2561 เช่นเดียวกันกับกลุ่มท่องเที่ยวที่จะค่อย ๆฟื้นตัว จากการที่นักท่องเที่ยวจากจีนและมาเลเซียเริ่มกลับมา รวมถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่ตาดว่าจะกลับมาหลังจากสิ้นสุดการถือศิลอดในช่วงปลายไตรมาส 2

ด้านการลงทุนของภาคเอกชนคาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2561 แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามผลักดันโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ EEC ก็ตาม เนื่องจากปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดกลุ่มนักลงทุนได้คือการบังคับใช้ พ.ร.บ. EEC ซึ่งรัฐบาลคาดว่าจะประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ภายในเดือนตุลาคม 2560 ดังนั้นการกลับมาของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศและการลงทุนของเอกชนน่าจะกลับมาได้ในปี 2561 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2560 น่าจะอยู่ที่ระดับ 1%โดยเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดมีสาเหตุมาจากราคาอาหารสดที่ไม่สูงเท่าปีที่แล้วและการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ไปตลอดทั้งปี 2560