ป.ป.ช.เสนอเข้มกฎหมายฟันนักการเมืองท้องถิ่นทุจริต

28 มิ.ย. 2560 | 08:47 น.
ป.ป.ช.วางมาตรเข้มกฎหมายหวังถอดถอนนักการเมืองท้องถิ่นทุจริต ชงข้อมูลมท.ฟันอาญา-แพ่ง เสนอกกต.ยึดฐานข้อมูลทุจริตคุมคุณสมบัติ ไม่ให้กลับมาสมัครใหม่

นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.) และโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. อาศัยอำนาจตามมาตรา 19 (11) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เห็นชอบให้เสนอมาตรการการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น อันเนื่องจากมีพฤติกรรมในทางทุจริต เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 252 วรรคสาม B ศรรเสริญ พลเจียก

ในส่วนของสำนักงาน ป.ป.ช. กำหนดให้สำนักไต่สวนการทุจริต ถือเป็นแนวทางปฏิบัติ กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น ให้ส่งรายงาน เอกสาร พร้อมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและแนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่เกี่ยวข้องและรายงานผลการสอบสวนหรือสำเนาคำสั่งลงโทษให้สำนักงาน ป.ป.ช. ทราบ

ทั้งนี้ ให้ใช้เฉพาะกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นที่พ้นจากตำแหน่งไปแล้วแต่กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ให้รวบรวมข้อมูลรายงาน เอกสาร พร้อมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่มีมติชี้มูลความผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นทั้งหมด ส่งไปยังกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณามอบหมายนายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัดให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตลอดจนส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อประกอบการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิลงรับสมัครเลือกตั้งพร้อมกับให้มีการติดตามผลการดำเนินการดังกล่าว

พิจารณาปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมีบทบัญญัติในการดำเนินการต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเดิมเป็นตำแหน่งที่ไม่มีโทษ ทางวินัยให้เพิ่มเติมบทบัญญัติว่าเมื่อคณะกรรมการป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดสามารถดำเนินการทางวินัยหรืออยู่ในบังคับมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 234 (1) และมาตรา 235 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และมีผลทำให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก

สำหรับข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาข้อมูลรายงาน เอกสารพร้อมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น โดยมอบหมายนายอำเภอหรือผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการสอบสวนและวินิจฉัยสั่งให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น พ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพหรือนำผลการสอบสวนดังกล่าวไปสู่การดำเนินคดีในทางอาญาหรือทางแพ่งต่อไปตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและแนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่เกี่ยวข้องและให้รายงานผลการสอบสวนหรือสำเนาคำสั่งลงโทษให้สำนักงาน ป.ป.ช.และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบด้วย

พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2540 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 โดยเพิ่มบทบัญญัติ“การไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต" กำหนดเป็นคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในทุกตำแหน่งเช่นเดียวกับการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามในการเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งต่าง ๆ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537

ข้อเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณาข้อมูลตามรายงาน เอกสาร พร้อมทั้งความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่นนำมาประกอบการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง

ทั้งนี้ จากสถิติข้อมูล (พ.ศ.2542-กันยายน 2558) พบว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท้องถิ่น ที่ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาหรือมีมูลความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นๆ มีจำนวนทั้งสิ้น 409 ราย แบ่งตามประเภทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนตำบล 262 ราย เทศบาล 114 ราย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 27 ราย และกรุงเทพมหานคร 6 ราย แต่ในจำนวนดังกล่าว ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอน ไม่สามารถสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ด้วยเหตุเพราะผู้นั้นพ้นตำแหน่งไปแล้วหรือลาออกไปก่อนถึง 171 ราย ส่งผลให้การบังคับใช้กฎหมายขาดประสิทธิภาพ