ฟ้องกลับ 'คิงเพาเวอร์' ชาญชัย เบิก! 'นายกฯ' พยานปากเอก
“ชาญชัย”ฟ้องกลับกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ฐานฟ้องเท็จคดีหมิ่นประมาท เบิก “นายกฯ- พล.ร.อ..พระจุณณ์-พล.อ.อ.วีรวิท-พ.อ.กฤษณะ-เกรียงศักดิ์” เป็นพยาน
วันที่ 27 มิ.ย.60--นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายก และรองประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญากับกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ประกอบด้วย 1.บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 2.บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด 3.บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด 4.นายสมบัตร เดชาพานิชกุล และ 5.นายนนทวุฒิ เหมทานนท์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานฟ้องเท็จต่อศาลอาญา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2054 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา
สื่บเนื่องจากก่อนหน้านี้กลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายชาญชัย ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ในข้อหาหมิ่นประมาท จากการที่นายชาญชัย เปิดแถลงข่าวที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ มีเจตนาร้ายกลั่นแกล้งให้ร้ายโจทก์ในเรื่องร้ายแรงทั้ง 3 กรณี คือ กล่าวหาผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 เพราะรู้อยู่แล้วว่าลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ได้ประโยชน์จากการขายสินค้าข้างนอกแล้วส่งมอบสินค้าปลอดอากรที่สนามบิน (Pick up Counter) ทั้งที่ทำสัญญาเช่าพื้นที่เฉพาะสนามบิน และกีดกันคู่แข่งอื่น และการติดตั้งเครื่องบันทึกการเก็บเงิน Point of Sale –POS ซึ่งคดีอยู่ในกระบวนการทางศาลเวลานี้
สำหรับคำบรรยายฟ้องที่นายชาญชัย ยื่นฟ้องกลับกลุ่มคิงเพาเวอร์สรุปว่า ข้อความที่ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ดังกล่าว เป็นความจริงทุกประการ ทั้งกรณี 1.การทำสัญญาจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีที่ท่าสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูมิภาค 10 ปี และต่อสัญญา 2 ครั้ง รวม 4 ปี โดยมีมูลค่าโครงการเกิน 1,000 ล้านบาท แต่มีการจัดทำรายงานและคำนวณมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง 2.การเปิดขายสินค้าปลอดภาษีในเมืองตามโครงการจัดตั้ง “คลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดภาษีในเมือง” ที่ได้รับอนุมัติจากกรมศุลกากร แต่การมาใช้พื้นที่ตามสัญญาบริหารเชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิตั้งจุดส่งมอบสินค้า ต้องถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ต้องชำระค่าเช่า และส่วนแบ่งรายได้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.ด้วย ทำให้ทอท.ขาดรายได้เป็นเงินไม่น้อยกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท และ 3.การติดตั้งระบบบันทึกการชำระเงิน POS เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลรายรับแบบเรียลไทม์ ตามเงื่อนไขสัญญา ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2549 แต่ล่าช้าไปกว่า 9 ปี เพิ่งติดตั้งแล้วเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ทำให้ไม่อาจยืนยันความถูกต้องของยอดขายก่อนหน้านั้นอย่างชัดเจนได้
ในบรรยายฟ้องยังระบุด้วยว่า การที่จำเลยร่วมกันนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญานั้น เป็นการกลั่นแกล้งให้ต้องรับโทษทางอาญา เพื่อบังคับให้กลับและยุติการเผยแพร่ข้อมูลรายงานการศึกษาโครงการ ฟ้องเท็จแก้เกี้ยว และเป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86
ทั้งนี้ นายชาญชัย ได้เสนอต่อศาล ขอเบิกบุคคลอื่นอีก 6 คน เป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นสืบพยานโจทก์ ประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 2.นายอุดม เฟื่องฟุ้ง 3.พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 4.พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 5.พ.อ.กฤษณะ วโรภาษ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 6.นายเกรียงศักดิ์ สืบสัมพันธ์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
วันที่ 27 มิ.ย.60--นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายก และรองประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในคณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญากับกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ประกอบด้วย 1.บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 2.บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด 3.บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด 4.นายสมบัตร เดชาพานิชกุล และ 5.นายนนทวุฒิ เหมทานนท์ เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานฟ้องเท็จต่อศาลอาญา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.2054 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา
สื่บเนื่องจากก่อนหน้านี้กลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายชาญชัย ต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2559 ในข้อหาหมิ่นประมาท จากการที่นายชาญชัย เปิดแถลงข่าวที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 โดยอ้างว่าเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ มีเจตนาร้ายกลั่นแกล้งให้ร้ายโจทก์ในเรื่องร้ายแรงทั้ง 3 กรณี คือ กล่าวหาผิดพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 เพราะรู้อยู่แล้วว่าลงทุนเกิน 1,000 ล้านบาท ได้ประโยชน์จากการขายสินค้าข้างนอกแล้วส่งมอบสินค้าปลอดอากรที่สนามบิน (Pick up Counter) ทั้งที่ทำสัญญาเช่าพื้นที่เฉพาะสนามบิน และกีดกันคู่แข่งอื่น และการติดตั้งเครื่องบันทึกการเก็บเงิน Point of Sale –POS ซึ่งคดีอยู่ในกระบวนการทางศาลเวลานี้
สำหรับคำบรรยายฟ้องที่นายชาญชัย ยื่นฟ้องกลับกลุ่มคิงเพาเวอร์สรุปว่า ข้อความที่ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 ดังกล่าว เป็นความจริงทุกประการ ทั้งกรณี 1.การทำสัญญาจำหน่ายสินค้าปลอดภาษีที่ท่าสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินภูมิภาค 10 ปี และต่อสัญญา 2 ครั้ง รวม 4 ปี โดยมีมูลค่าโครงการเกิน 1,000 ล้านบาท แต่มีการจัดทำรายงานและคำนวณมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง 2.การเปิดขายสินค้าปลอดภาษีในเมืองตามโครงการจัดตั้ง “คลังสินค้าทัณฑ์บนประเภทร้านค้าปลอดภาษีในเมือง” ที่ได้รับอนุมัติจากกรมศุลกากร แต่การมาใช้พื้นที่ตามสัญญาบริหารเชิงพาณิชย์ในสนามบินสุวรรณภูมิตั้งจุดส่งมอบสินค้า ต้องถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ต้องชำระค่าเช่า และส่วนแบ่งรายได้แก่บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท.ด้วย ทำให้ทอท.ขาดรายได้เป็นเงินไม่น้อยกว่า 2.1 หมื่นล้านบาท และ 3.การติดตั้งระบบบันทึกการชำระเงิน POS เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลรายรับแบบเรียลไทม์ ตามเงื่อนไขสัญญา ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2549 แต่ล่าช้าไปกว่า 9 ปี เพิ่งติดตั้งแล้วเสร็จเมื่อเดือนกรกฎาคม 2558 ทำให้ไม่อาจยืนยันความถูกต้องของยอดขายก่อนหน้านั้นอย่างชัดเจนได้
ในบรรยายฟ้องยังระบุด้วยว่า การที่จำเลยร่วมกันนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญานั้น เป็นการกลั่นแกล้งให้ต้องรับโทษทางอาญา เพื่อบังคับให้กลับและยุติการเผยแพร่ข้อมูลรายงานการศึกษาโครงการ ฟ้องเท็จแก้เกี้ยว และเป็นความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86
ทั้งนี้ นายชาญชัย ได้เสนอต่อศาล ขอเบิกบุคคลอื่นอีก 6 คน เป็นพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นสืบพยานโจทก์ ประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี 2.นายอุดม เฟื่องฟุ้ง 3.พล.ร.อ.พระจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 4.พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 5.พ.อ.กฤษณะ วโรภาษ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ 6.นายเกรียงศักดิ์ สืบสัมพันธ์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ