ปรับพอร์ตหุ้นเดือนมิถุนายน

25 มิ.ย. 2560 | 23:45 น.
MP19-3273-c มิถุนายนเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนและช่วงพักผ่อนของคนในซีกโลกตะวันตกแต่ปีนี้มีหลายปัจจัยที่ต้องจับตา ซึ่งอาจจะทำให้เดือนมิถุนายน ต่างไปจากทุกปีสำหรับการลงทุนซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือการปรับตัวของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้งในแง่ของการปรับขึ้นดอกเบี้ย และอีกปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ ปรับลดนโยบาย QE ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่จับตาของตลาดเช่นกันเพราะหากมีการปรับลดขนาดสินทรัพย์ที่ได้เข้าซื้อ อาจจะมีผลต่อเงินลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชีย

ดังนั้นเมื่อมองแนวโน้มของตลาดหุุ้นในเดือนมิถุนายนแล้ว ต้องบอกว่า ปัจจัยในเรื่อง Fund Flow ที่มีความไม่แน่นอน น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดมากในเอเชียอย่างมีนัย แม้ตลาดหุ้นในเดือนพฤษภาคมจะมีการ รีบาวด์กลับมาได้ แต่เมื่อพิจารณาเศรษฐกิจไทยด้วยแล้วไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาหนุนตลาด Upside ของตลาดจึงมีจำกัด เนื่องจากโครงการรัฐ ซึ่งเป็นหัวใจของ GDP ของไทยปีนี้ หลายโครงการที่มีมูลค่ารวมกันถึง 2.69แสนล้านบาท ล่าช้าออกไป ซึ่งจะมีผลต่อรายได้และกำไรของหุ้นกลุ่มรับเหมาและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องรวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มที่อิงกับทิศทางเศรษฐกิจในประเทศ เริ่มมีกำไรที่เติบโตน้อยลง เช่น กลุ่มรับเหมาฯ ขนส่งและโลจิสติกส์, การแพทย์, เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อาหารและเครื่องดื่ม ยังรวมไปถึง NPLs กลุ่มธนาคารที่สูงขึ้นถึง 12% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นปัจจัยทำให้มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยว่ามีแนวโน้มที่จะโตน้อยกว่าที่ KTBST เคยคาดการณ์ไว้

แล้วหุ้นที่น่าลงทุนในเดือนมิถุนายนนี้มีกลุ่มไหนบ้าง?

เนื่องจาก KTBST ประเมินว่าตลาดหุ้นในเดือนมิถุนายนนี้จะค่อนข้างเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยน่าจะเคลื่อนไหวระหว่าง 1,530-1,540 จุด กลยุทธ์ที่อยากแนะนำนักลงทุน คือ การหาจังหวะในการทำกำไรหากดัชนีปรับตัวขึ้นมาและพยายามหลีกเลี่ยงหุ้นที่เคลื่อนไหวไปตามตลาด หรือหุ้นที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการจะปรับลงในส่วนการเลือกหุ้นที่น่าสนใจ ซึ่งผมขอยกมาสัก 3 กลุ่มนะครับ ได้แก่

กลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ : กลุ่มนี้ ผมให้นํ้าหนักการลงทุนที่ค่อนข้างมาก (Overweight)จากการที่มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ประกอบกับผลกระทบตามฤดูกาล ซึ่งกลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารจะได้รับผลประโยชน์ในการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นโดยหุ้นแนะนำอาทิเช่น SAWAD,MTLSและ TISCO
กลุ่มเกษตรและอาหาร:ผมปรับนํ้าหนักการลงทุนในกลุ่มนี้ให้มากขึ้น จากก่อนหน้าให้นํ้าหนักกลาง(Neutral) ซึ่งจากแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มปศุสัตว์ที่คาดว่าจะปรับดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจะได้ความเชื่อมั่น (sentiment)การส่งออกที่ดีสะท้อนมายังราคาขายแล้ว ต้นทุนวัตถุดิบระดับตํ่า ช่วยหนุนให้ margin โดยรวมดีขึ้นได้ด้วยรวมทั้งแนวโน้มฝนตกหนักช่วงนี้ ที่อาจทำให้สินค้ากลุ่มนี้ขาดแคลนและทำให้ราคาของปรับขึ้นได้ โดยหุ้นที่แนะนำอาทิ เช่น CPF, BR
กลุ่มหุ้นที่มีเรื่องบวกเฉพาะตัว: ผมชอบบริษัทที่มีแนวโน้มการเติบโตของผลการดำเนินการอย่างมีนัยจากการขยายกิจการ ซึ่งผมคิดว่าอยากให้นักลงทุนลองศึกษาใน 3 บริษัทนี้ คือ ETE, FSMART และ WHAUP

โดยรวมผมมองว่าตลาดค่อนข้างจะ Side Way ในเดือนนี้ หากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาดันตลาด ดังนั้นนอกจากปัจจัยทางพื้นฐานในการเลือกหุ้นแล้ว นักลงทุนอาจพิจารณาใช้เครื่องมือทางเทคนิคช่วยการลงทุนในะระยะนี้เช่นกัน ซึ่งล่าสุดผลิตภัณฑ์ KTBST Smart Algo ได้มีกลยุทธ์ลงทุนใหม่ ที่ชื่อว่า “Tide Hunter”เป็นระบบลงทุนอัตโนมัติที่เลือกหุ้นโดยใช้เทคนิคโดยเฉพาะ โดยมองหาหุ้นทั้งในตลาด SET และ MAI ที่มีแนวโน้มของราคา (Momentum) แข็งแกร่งที่สุด 10 อันดับเข้าลงทุน และขายทำกำไรออกเมื่อเห็นสัญญาณราคาลดลง ถือเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจมากในภาวะตลาดปัจจุบัน

เศรษฐกิจและการลงทุนก็ดำเนินมาถึงครึ่งทางของปี 2560 แล้วนะครับ แม้ปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยจะมีมากแต่ขณะเดียวกันก็เป็นจังหวะในการเข้าลงทุนเช่นกัน ก็คงทำให้พอร์ตการลงทุนของหลายๆท่านมีผลการดำเนินงานที่ดี เช่นเดียวกัน KTBST Wealth Management ที่ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนเป็นที่พอใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนในหุ้น กองทุนส่วนบุคคล กองทุนรวม และ การลงทุนอัตโนมัติอย่าง Smart Algo ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องครับ KTBST พร้อมยินดีให้คำปรึกษาการลงทุน ท่านที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ 0-2648 1747/ 0-2648 1458

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,273 วันที่ 25 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560