ผู้ตรวจการแผ่นดิน ติดตามแก้ปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ

15 มิ.ย. 2560 | 09:31 น.
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ลงพื้นที่อุบลราชธานีติดตามการแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ ชี้ เกิดจากปริมาณผลผลิตและสต็อกข้าวโลกรวมทั้งข้าวไทยมีปริมาณมาก เชื่อ มาตรการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ของรัฐ แก้ปัญหาระยะยาวได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 มิถุนายน) นายธาวิน อินทร์จำนงค์ รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วยนายเมธี มั่นคง เจ้าหน้าที่สอบสวนผู้ชำนาญการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 2 นำคณะลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อติดตามผลักดันการแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกอย่างเป็นระบบ หลังพบชาวนาอุบลประสบปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำแต่ต้นทุนสูง

 

3 ทั้งนี้ นายธาวิน อินทร์จำนงค์ รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวนาในจังหวัดอุบลราชธานีที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาราคาขายข้าวเปลือกให้โรงสีตกต่ำมากกว่าปกติ โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 5 บาท ในขณะที่มีต้นทุนการผลิตที่สูง สวนทางกับราคาข้าวสารที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 35 บาท

อย่างไรก็ดี จากการสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยประสบปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำมาก เนื่องจากปริมาณผลผลิตและสต็อกข้าวโลก รวมทั้งข้าวไทยที่เพิ่มมากขึ้นเป็นหลัก แม้ทางหน่วยงานรัฐเองจะพยายามวางมาตรการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งด้านการผลิต การตลาด และการเงิน แต่ก็ยังพบปัญหาและอุปสรรคเรื่อยมา

2

 

สำหรับพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีนั้น ประสบปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการข้าวที่สำคัญ 4 ประการ คือ 1.ปัญหาการขาดพื้นที่เพื่อใช้เป็นลานตากข้าว 2.ปัญหาการขาดแคลนเครื่องจักรในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวข้าว 3.ปัญหาการขาดแคลนระบบชลประทานที่ดี และ4.ปัญหาความพร้อมด้านบุคลากรและการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อดำเนินโครงการเกษตรแบบแปลงใหญ่

นายธาวิน ยังกล่าวด้วยว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีในครั้งนี้ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้มอบหมายให้มาร่วมประชุมหารือกับผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ ได้แก่ ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กรมการค้าภายใน กรมการข้าว กรมส่งเสริมการเกษตร เกษตรจังหวัดอุบลราชธานี พาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอุบลราชธานี สำนักงานชลประทานที่ 7 และสำนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งกลุ่มเกษตรกรชาวนา เพื่อพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกันอันจะนำไปสู่การบริหารจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างยั่งยืนและเป็นระบบ

โดยเบื้องต้นที่ประชุมเห็นว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยาวนั้น ภาครัฐควรมีมาตรการส่งเสริมระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่ (นาแปลงใหญ่) เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ได้ผลผลิตมีคุณภาพตามมาตรฐาน มีตลาดรองรับ รวมทั้งส่งเสริมการแปรรูปและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับข้าวไทย และที่สำคัญจะต้องบริหารจัดการให้ระบบการผลิตสอดคล้องสัมพันธ์กับระบบการตลาด โดยมีกรมการข้าวเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลรับผิดชอบ

4

นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นศึกษาดูงานการดำเนินงานของกลุ่มเกษตรกรนาแปลงใหญ่ ณ แปลงนาสาธิตของศูนย์พัฒนาการเรียนรู้นาแปลงใหญ่ ตำบลยางสักกะโพหลุ่ม อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัด อุบลราชธานี ซึ่งประสบความสำเร็จในการปลูกข้าวระบบนาแปลงใหญ่ ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถนำไปศึกษาพัฒนาและจัดทำเป็นข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับชาวนาในอนาคตต่อไปได้อีกด้วย