กกต.ถกทีมกฎหมาย"เสียงแตก"ปมเซตซีโร่
กกต.ถกทีมกฏหมาย หาช่องสู้“เซตซีโร่” มุ่งปมขัดแย้งเจตนารมย์ รธน.หรือไม่ เผยเสียงแตกมีทั้งเห็นว่าขัดและไม่ขัด เล็งโต้แย้ง 3 ประเด็น
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประชุมร่วมกับคณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต. เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่ามีประเด็นใดที่ขัดหรือแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเฉพาะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขมาตรา 70 ให้ ประธาน กกต.และกรรมการ กกต. ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมยังมีความเห็นเป็น 2วทาง คือ ในส่วนของคณะที่ปรึกษากฎหมาย มีทั้งที่เห็นว่าขัดแย้งกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญและเห็นว่าไม่ขัด โดยฝ่ายที่เห็นว่าขัดแย้งยกเหตุผลว่า การแก้ไขมาตรา 70 ให้เซตซีโร่ กกต.เป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมสำหรับ กกต.ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญใหม่ อีกทั้งก่อนหน้านี้ตามร่างเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้พิจารณา หากใครมีคุณสมบัติครบก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แตกต่างจากการแก้ไขใหม่ที่ให้โละทิ้งทั้งหมด
ส่วนคณะที่ปรึกษากฎหมาย ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ มองว่า การเซ็ซีโร่ กกต.เป็นเรื่องของการออกกฎหมาย เพราะไม่ได้เป็นกฎหมายย้อนหลัง และไม่ใช่เรื่องสิทธิของประชาชน เป็นเรื่องตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การที่ กกต.ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามร่างกฎหมายนี้และไม่สามารถกลับมาสมัครเป็นกรรมการในองค์กรอิสระได้อีก ก็ไม่ถือว่าถูกจำกัดสิทธิ เนื่องจากเป็นเรื่องตำแหน่งของรัฐ ไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เพราะสิทธิในฐานะประชาชนไม่ได้เสียไป ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง กกต.หรือรัฐมนตรีย่อมต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ ไม่มีใครมาอ้างสิทธิได้
อย่างไรก็ตาม กกต.จะใช้สิทธิทำความเห็นแย้งต่อร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว 3 ประเด็น คือ 1.เรื่องคุณสมบัติ กกต. 2.เรื่องอำนาจที่ กกต.สามารถระงับยับยั้งได้หากพบการทุจริตในหน่วยเลือกตั้ง และสามารถกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ และ 3.การเลือกตั้งท้องถิ่นที่กฎหมายได้มอบหมายให้หน่วยงานอื่นจัดการเลือกตั้งภายใต้การกำกับดูแลของ กกต.
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ประชุมร่วมกับคณะที่ปรึกษากฎหมายของ กกต. เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่ามีประเด็นใดที่ขัดหรือแย้งกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเฉพาะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขมาตรา 70 ให้ ประธาน กกต.และกรรมการ กกต. ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมยังมีความเห็นเป็น 2วทาง คือ ในส่วนของคณะที่ปรึกษากฎหมาย มีทั้งที่เห็นว่าขัดแย้งกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญและเห็นว่าไม่ขัด โดยฝ่ายที่เห็นว่าขัดแย้งยกเหตุผลว่า การแก้ไขมาตรา 70 ให้เซตซีโร่ กกต.เป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมสำหรับ กกต.ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญใหม่ อีกทั้งก่อนหน้านี้ตามร่างเดิมของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ก็ให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการสรรหาเป็นผู้พิจารณา หากใครมีคุณสมบัติครบก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แตกต่างจากการแก้ไขใหม่ที่ให้โละทิ้งทั้งหมด
ส่วนคณะที่ปรึกษากฎหมาย ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ มองว่า การเซ็ซีโร่ กกต.เป็นเรื่องของการออกกฎหมาย เพราะไม่ได้เป็นกฎหมายย้อนหลัง และไม่ใช่เรื่องสิทธิของประชาชน เป็นเรื่องตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การที่ กกต.ซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ต้องพ้นจากตำแหน่งไปตามร่างกฎหมายนี้และไม่สามารถกลับมาสมัครเป็นกรรมการในองค์กรอิสระได้อีก ก็ไม่ถือว่าถูกจำกัดสิทธิ เนื่องจากเป็นเรื่องตำแหน่งของรัฐ ไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เพราะสิทธิในฐานะประชาชนไม่ได้เสียไป ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง กกต.หรือรัฐมนตรีย่อมต้องเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ ไม่มีใครมาอ้างสิทธิได้
อย่างไรก็ตาม กกต.จะใช้สิทธิทำความเห็นแย้งต่อร่างพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว 3 ประเด็น คือ 1.เรื่องคุณสมบัติ กกต. 2.เรื่องอำนาจที่ กกต.สามารถระงับยับยั้งได้หากพบการทุจริตในหน่วยเลือกตั้ง และสามารถกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ได้ และ 3.การเลือกตั้งท้องถิ่นที่กฎหมายได้มอบหมายให้หน่วยงานอื่นจัดการเลือกตั้งภายใต้การกำกับดูแลของ กกต.