โชว์เครือข่ายอนาคต โนเกียชู4.9GAirScale ยกระดับความเร็ว

29 พ.ค. 2560 | 11:00 น.
โนเกีย นำเสนอโซลูชัน 4.9G AirScale เทคโนโลยีเครือข่ายล่าสุด ส่งข้อมูลความเร็วสูงสุดถึง 3 กิกะบิตต่อวินาที ช่วยเพิ่มศักยภาพเครือข่ายผู้ประกอบการโทรคมนาคม-รองรับการเติบโตมหานคร พร้อมเผย 6 เมกะเทรนด์ ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมของเครือข่าย

นายเซบาสเตียน โลรองท์ ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย บริษัทโนเกีย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าโนเกียได้นำเสนอนวัตกรรมเครือข่ายใหม่ล่าสุดในงานวันนวัตกรรมโนเกีย 2017 (Nokia Innovation Day 2017) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยสาธิตโซลูชั่นต่างๆ อาทิ เทคโนโลยี 4.9G AirScale ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายล่าสุดของโนเกียที่ทำให้การส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายมีความเร็วสูงสุดถึง 3 กิ๊กะบิตต่อวินาที ซึ่งความเร็วที่ระดับดังกล่าวช่วยเพิ่มศักยภาพของเครือข่ายของผู้ประกอบการโทรคมนาคม ให้สามารถรองรับการเติบโตมหานคร(megacity) อีกทั้งเตรียมพร้อมสำหรับการเชื่อมต่อที่จะเพิ่มขึ้นมหาศาลในยุค 5G นอกจากการสาธิต AirScale 4.9G แล้ว

นอกจากนี้โนเกียยังได้นำเสนอกรณีตัวอย่างการใช้ อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงค์ (ไอโอที - IoT) ,ไม่ว่าจะเป็น ระบบบ้านอัจฉริยะสำหรับผู้สูงอายุ, เสาไฟฟ้าอัจฉริยะ, ระบบติดตามสมาชิกและยานพาหนะของครอบครัว; และการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย

นายเซบาสเตียน โลรองท์ กล่าวต่อไปว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีส่งผลกระทบโดยตรงต่อทุกภาคส่วนทั้ง ชีวิตประจำวันของบุคคลวิธีการทำงานทางธุรกิจและการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า รวมไปถึงกระบวนการทำงานในภาคส่วนอุตสาหกรรมและบริการสาธารณะ

โดย 6 เมกะเทรนด์ที่กำลังผลักดันให้เกิดนวัตกรรมของเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบ การวางระบบ การใช้งาน การจัดการ และการนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด: ได้แก่ 1.เครือข่าย คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล: การสื่อสารไร้พรมแดน (broadband everywhere): ระบบคลาวด์แบบกระจาย (distributed cloud) หน่วยจัดเก็บข้อมูลที่เกือบไม่จำกัด และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ขนาดพกพาสำหรับทุกคน กำลังเข้าใกล้เป็นความจริงมากขึ้น

2.Internet of Things (IoT): การ์ทเนอร์ประเมินว่าจะมีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ราว 2 หมื่นล้านรายการในปี 2563 ซึ่งอุปกรณ์เชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แก็ดเจ็ต เซ็นเซอร์ และสิ่งอื่นๆ จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งบุคคลและธุรกิจ
3.ปัญญาประดิษฐ์ (Augmented intelligence): เครื่องมือใหม่ๆ ที่สามารถช่วยในการตัดสินใจ และการทำงานเองโดยอัตโนมัติจะช่วยให้การทำงานของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

4.การปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์และเครื่องจักร: เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม หรือ เออาร์ (AR: Augmented Reality) และการเพิ่มอินเตอร์เฟซใหม่ๆจากเสียงและท่าทาง การติดตั้งหน่วยประมวลผล หรือชิป และสิ่งต่างๆ ที่มีความฉลาดขึ้น เช่น เสื้อผ้า จะเปลี่ยนวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องจักรเช่นเดียวกับหน้าจอสัมผัสในอดีต

5.เศรษฐศาสตร์ทางสังคมและความไว้วางใจ: เศรษฐกิจแบบแบ่งปันจะยังคงขยายตัวต่อไป ลักษณะของเงินจะเปลี่ยนไปโดยมีสกุลเงินดิจิตอลขึ้นมารับบทบาทที่สำคัญมากขึ้น ส่งผลให้ความไว้วางใจและความปลอดภัยมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

และ 6. การทำ Digitalization และระบบนิเวศน์: ธุรกิจจะปรับการดำเนินการด้านต่างๆเท่าที่เป็นไปได้ไปสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น ตัวอย่างเช่นการขยายสู่โลกของผู้บริโภคและชีววิทยา ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ท้าทายอย่างมาก เช่นการพิมพ์แบบสามมิติของอวัยวะเพื่อการปลูกถ่าย

ทั้งนี้เครือข่ายในปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับหรือตอบสนองเมกะเทรนด์เหล่านี้ ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในรูปแบบและขนาด เพื่อสร้างระบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ ความคล่องตัว และความปลอดภัยมากขึ้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,265 วันที่ 28 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560