หวั่นภาคการเงินจีนป่วน ต้นทุนกู้ยืมพุ่ง-ยอดหนี้เพิ่มหลังถูกลดเรตติ้ง

28 พ.ค. 2560 | 09:00 น.
เตือนผลกระทบจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรจีนอาจจะยิ่งก่อปัญหาหนี้หนักขึ้น จากการที่ต้นทุนกู้เงินในต่างประเทศที่ขยับสูง จะผลักดันทำให้เอกชนจีนแห่กู้จากธนาคารในประเทศและเพิ่มความเสี่ยงให้กับอุตสาหกรรมภาคการเงินของจีนเอง

บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลจีนลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2532 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา จากความกังวลว่าจีนจะประสบความยากลำบากในการควบคุมหนี้ที่พุ่งสูงขึ้นท่ามกลางบริบทที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงหลายปีข้างหน้า ทั้งนี้ มูดี้ส์ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้รัฐบาลระยะยาวสกุลเงินท้องถิ่นและสกุลเงินต่างประเทศของจีนลงมาอยู่ที่ A1 จาก Aa3 แต่ปรับอันดับภาพรวมของจีนดีขึ้นจาก “เป็นลบ” มาอยู่ที่ “มีเสถียรภาพ”

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวสะท้อนให้เห็นการคาดการณ์ของมูดี้ส์ว่า ความแข็งแกร่งทางการเงินของจีนจะถูกลดทอนลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้าโดยมีสาเหตุหลักมาจากการก่อหนี้เป็นวงกว้างในระบบเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในทิศทางชะลอตัวลง โดยรัฐบาลจีนได้ปรับลดตัวเลขประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีนี้ (2560)มาอยู่ที่ราวๆ 6.5 % นับเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2533เป็นต้นมา ทั้งนี้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับที่ 13 ของจีนที่เผยแพร่เมื่อปี 2559 ระบุตัวเลขประมาณการณ์ว่า จีนจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 6.5% เท่านั้น (ระหว่างปี 2559-2563)

รายงานระบุว่า ยอดค้างชำระหนี้ของจีนในปี 2560 พุ่งสูงขึ้น คิดเป็นสัดส่วน 260 % ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งจัดว่าสูงมาก ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายปี 2559 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ออกโรงเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า วิกฤตหนี้ในประเทศของจีนอาจจะเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพการเงินโลกในภาพรวม

นอกเหนือจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลจีนแล้ว มูดี้ส์ยังคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ระดับแตะๆ 5% สาเหตุจากการลงทุนที่ลดลง และมีการลดลงอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากรวัยทำงาน นอกจากนี้ ภาคการผลิตของจีนยังมีประสิทธิภาพการผลิตลดลงด้วย

ศูนย์วิจัยตลาดเอเชียของธนาคารเอเอ็นแซดคาดการณ์ว่า ปัญหาหนี้สินที่ก่อตัวมากขึ้นประกอบกับภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว อาจจะทำให้จีนต้องเข้าสู่วังวนของผลกระทบเชิงลบ และผู้ที่รับแรงกระแทกหนักสุดก็จะได้แก่ รัฐวิสาหกิจและผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ นักวิเคราะห์ยังแสดงความกังวลว่า การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ จะทำให้ภาคธุรกิจของจีน โดยเฉพาะธุรกิจสายการบินและธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือ ได้รับผลกระทบอย่างมาก เนื่องจากสายการบินมักใช้วิธีออกหุ้นกู้ระดมเงินเพื่อการซื้อฝูงบินใหม่ เช่นเดียวกับบริษัทเดินเรือที่ออกหุ้นกู้หาเงินซื้อเรือบรรทุกสินค้าลำใหม่

หลายบริษัทที่ประสบต้นทุนกู้ยืมที่สูงขึ้นในต่างประเทศ จำเป็นต้องกลับมาพึ่งแหล่งเงินกู้จากธนาคารของจีนเองมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าธนาคารจีนจะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นจากผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้ สถิติชี้ว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นของวิกฤติการเงินโลก บริษัทจีนมีการกู้ยืมเพิ่มขึ้นเพื่อพยายามรักษาการเจริญเติบโต ซึ่งทำให้ยอดหนี้สินรวมของนิติบุคคลจีนพุ่งทะยานเป็น 156% ของจีดีพี เพิ่มจากระดับ 100% ในปี 2551 ส่วนใหญ่ของยอดหนี้มาจากรัฐวิสาหกิจ ทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระเมื่อรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งรวมถึงหนี้จากการออกหุ้นกู้เพื่อระดมเงินทุน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,265 วันที่ 28 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560