ชี้บึ้มรพ.พระมงกุฎเลวร้ายสุด โยงกองสลาก-โรงละคร ทบ.1ชี้"หากมีโอกาสเขาก็ทำ"

22 พ.ค. 2560 | 12:32 น.
วันนี้ (22 พ.ค. 60) - พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคสช. แถลงภายหลังการประชุมหน่วยความมั่นคง ภายหลังเกิดเหตุระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในช่วงสายวันนี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด เพราะผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งระเบิดครั้งนี้หวังผลถึงชีวิต เนื่องจากใส่ตะปูจำนวนมาก โดยตอนนี้ตำรวจกำลังติดตามข้อมูล และดำเนินการตามข้อมูล ทั้งนี้เมื่อมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง ตนจึงเรียกหน่วยงานความมั่นคงทั้งหมดมาประชุมปรับแผนการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมของประเทศ ซึ่งทั้ง 3 คดี คือระเบิดหน้าสำนักงานสลากกินเเบ่งรัฐบาล ถนนราชดำเนิน (5 เม.ย.) เเละระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ (18 พ.ค.) โดยระเบิดครั้งนี้ ตำรวจที่รับผิดชอบต้องดำเนินการจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้ และเป็นระเบิดไปป์บอมบ์ เพราะมีลักษณะเหมือนกัน แต่การนำเข้ามาอย่างไรตำรวจจะแถลงข่าวอีกครั้ง

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนการบูรณาการงานด้านการข่าว ตนยอมรับว่ายังไม่ชัดเจนว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มใด แต่ 1 ใน 3 คดีหากได้ผู้ต้องสงสัยทุกอย่างจะสืบสาวไปได้ โดยเฉพาะการสรุปหลักฐานเบื้องต้นของตำรวจ คาดว่า 3 คดีที่เกิดขึ้นเป็นกลุ่มเดียวกัน เนื่องจากส่วนประกอบของระเบิดชนิดเดียวกันทั้งหมด ส่วนการวางกำลังเพื่อป้องกันสถานที่สำคัญต่างๆ ที่กลุ่มผู้ก่อการคิดจะไปก่อเหตุ ซึ่งตนสั่งการไปทุกกองทัพภาค ทุกกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) โดยเฉพาะกกล.รส.ภาคที่ 1 ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้จัดกำลังเข้าไปดำเนินการร่วมกับประชาชนช่วยกันดูแล ซึ่งคิดว่าจะดำเนินการได้ประสิทธิภาพ

เมื่อถามว่า ระเบิดทั้ง 3 ครั้งเป็นการดิสเครดิตรัฐบาล หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า "ตราบใดที่ยังไม่มีผู้ต้องสงสัย คงวิเคราะห์กันไปว่าเป็นกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ แต่ไม่ควรฟันธงว่าเป็นใคร ซึ่งตนคิดว่าเป็นการปั่นป่วนการบริหารงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ส่วนเหตุการณ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับ ครบรอบ 3 ปี คสช. หรือไม่ ตนคิดว่าไม่จำเป็น คนไม่ชอบคสช. จะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยว จะกี่เดือนกี่วัน ถ้ามีจังหวะ และโอกาสเขาก็ทำ"

เมื่อถามอีกว่า ข้อมูลเบื้องต้นตำรวจ จะสามารถหาตัวคนร้ายจากกล้องวงจรปิดได้หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ภาพรวมทุกพื้นที่ที่ก่อเหตุ เป็นพื้นที่เปิด มีประชาชนไปมาพลุกพล่าน เพราะพื้นที่โรงพยาบาล ใครก็สามารถเข้าไปได้ อีกทั้งการก่อเหตุครั้งนี้เป็นลักษณะการอำพราง แบบไปเยี่ยมคนไข้ และมีอุปกรณ์เข้าไป จึงยากต่อการป้องกันการเกิดเหตุ เพราะคิดว่าเป็นโรงพยาบาล จึงไม่มีการตรวจ หรือสแกน ซึ่งต่อไปต้องวางมาตรการป้องกัน และขอความร่วมมือประชาชนเป็นหูเป็นตาช่วยเจ้าหน้าที่

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนคิดว่ากล้องวงจรปิดเป็นเรื่องสำคัญ ตนได้พูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้วว่าทุกส่วนงาน ส่วนราชการ และหลายๆพื้นที่ต้องมีกล้องวงจรปิด ซึ่งส่วนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ คือกทม.ต้องติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มีคุณภาพ รวมทั้งประชาชนที่เป็นเจ้าของธุรกิจต่างๆ ขอให้ช่วยกัน เฉพาะภาครัฐอย่างเดียวจะเป็นการลงทุนสูง และต้องใช้เวลานาน แต่ถ้าพวกเราทุกคนช่วยกันติดตั้งกล้องวงจรปิดก็จะสามารถช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยให้ประชาชนได้

“ผมขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอีก อย่างครั้งล่าสุด นอกจากมีความรุนแรงแล้ว ยังเกิดในโรงพยาบาล โดยปกติ ไม่มีใครทำแบบนี้ และเป็นสิ่งเลวร้าย แม้แต่ช่วงสงคราม ระหว่างการรบ ยังไม่มีใครทิ้งระเบิดลงไปในโรงพยาบาล แต่นี่เอาระเบิดไปวางในโรงพยาบาล ซึ่งมีผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นคนแก่ เป็นเรื่องที่สังคมต้องประณาม สิ่งเหล่านี้ปล่อยไว้ไม่ได้ ทั้งนี้จากการพูดคุยเบื้องต้นผมมั่นใจว่าตำรวจสามารถดำเนินการได้ คิดว่ามีแนวทางสามารถสาวไปถึงตัวผู้ก่อเหตุได้ เมื่อได้มาหนึ่ง ทุกอย่างจะคลี่คลาย ซึ่งต้องให้เวลาตำรวจดำเนินการไปตามขั้นตอน ถึงเวลาก็ตะแถลงข่าวเอง ถ้าบางเรื่องเร่งร้อนไปจะทำให้คาดเคลื่อน อีกทั้งเราจะขอข้อมูลประชาชนที่อยู่ในที่เกิดเหตุเพิ่มด้วย” พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

เมื่อถามอีกว่า จำเป็นต้องมีกฎหมายพิเศษ หรือเพิ่มกำลังดูแลสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า กฎหมายพิเศษคงไม่ต้อง แต่เรื่องการวางกำลังต้องมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยนำกำลังออกมาดูแลทุกพื้นที่สำคัญ เพราะตอนนี้เรามีงานสำคัญจำนวนมาก ดังนั้นต้องเน้นดูแลความปลอดภัยของประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่กทม. และเขตพระราชฐาน เมื่อถามอีกว่า ทำไมถึงต้องวางระเบิดที่ห้องวงษ์สุวรรณ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่าเป็นห้องอะไร การวางระเบิดตรงไหนก็ไม่สมควรทั้งนั้น ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นห้องไหน ซึ่งตนไม่ทราบหรอกว่า มีห้องชื่อดังกล่าว

พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวอีกว่า สำหรับการรักษาความปลอดภัยที่เข้มขึ้น คือมีกำลังพลทั้งในและนอกเครื่องแบบเข้าไปทำการข่าว หรือการลาดตระเวน ในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่ล่อแหลมมากยิ่งขึ้น ส่วนจุดตรวจ จุดสกัด เป็นเพียงการป้องปราม ซึ่งตนอยากทำในเชิงรุกมากกว่า โดยใช้ศักยภาพกำลังพลที่มีให้เต็มที่

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช.เปิด เผยว่า พล.อ.เฉลิมชัย ได้เรียกประชุมประเมินสถานการณ์และแนวทางการรักษาความสงบเรียบร้อยในห้วงต่อไป โดยได้มีการรายงานเหตุการณ์ที่มีผู้ไม่หวังดี ก่อเหตุและกระทำการให้เกิดความวุ่นวายและความไม่สงบเรียบร้อย ในพื้นที่ต่างๆที่ผ่านมา โดยล่าสุดคือการก่อเหตุที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎ โดยให้เพิ่มมาตรการดังนี้
1. ให้ทุกภาคส่วนบูรณาการและประสานการปฏิบัติโดยใกล้ชิด เพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในทุกพื้นที่
2. ให้ตรวจสอบสถานการณ์กล้องวงจรปิด (CCTV) และไฟฟ้าส่องสว่าง ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน รวมทั้งให้พิจารณาติดตั้งเพิ่มเติมในพื้นที่ จุดเสี่ยง และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ทั้งนี้ ให้วิเคราะห์ระบบที่มีอยู่ว่าบริเวณใดที่เป็นจุดอับของกล้อง (CCTV) และระบบไฟฟ้าส่องสว่างด้วย
3.ให้เข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญ สถานที่ท่องเที่ยว พื้นที่สาธารณะ แหล่งเศรษฐกิจ ย่านการค้า ระบบสาธารณูปโภค ปมคมนาคมและสถานบริการ สถานประกอบการที่มีประชาชนเข้าไปใช้บริการหรือรวมอยู่กันเป็นจำนวนมาก
4.ให้ทุกหน่วยทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร เพิ่มมาตรการป้องกัน การก่อเหตุ ก่อกวนของผู้ไม่ประสงค์ดีโดยเฉพาะพื้นที่ชุมชนและสถานที่สำคัญต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบตลอดจนที่ตั้งของหน่วย พร้อม จัดกำลังพลลงพื้นที่เพื่อประสานงานกับผู้ประกอบการให้เพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยสถานที่ของตนเอง และขอความร่วมมือประชาชนช่วยเจ้าหน้าที่ดูแล รักษาความปลอดภัยสถานที่โดยการสังเกตวัตถุ และบุคคลต้องสงสัยหากพบแจ้งเจ้าหน้าที่ทราบโดยเร็ว
ซึ่งขอประณามผู้ก่อเหตุที่กระทำอย่างไร้มนุษยธรรมที่กระทำแม้แต่ในพื้นที่โรงพยาบาล