"วิษณุ" เผยมินิคาบิเน็ต ให้ยกเครื่องสภาพัฒน์

22 พ.ค. 2560 | 07:00 น.
วันที่ 22 พ.ค.60 - นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ (มินิคามิเนต) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้พิจารณา 3 เรื่อง คือ1. เกี่ยวกับการปรับแก้กฎหมายเพื่อยกเครื่องโครงสร้างสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) จากเดิมที่มีภารกิจ 2 อย่าง คือ 1.)การจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมกับติดตามว่าแต่ละหน่วยงานทำตามแผนดังกล่าว 2.)การให้ความคิดเห็นแก่รัฐบาลเวลาที่มีผู้เสนอโครงการต่างๆ เข้ามาในด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเพิ่มภารกิจอีก 2 เรื่องได้แก่ (1.)ดำเนินการเรื่องเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน คือ การเมืองและการต่างประเทศ การพัฒนากำลังคน การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ หรือเรื่องการประกอบธุรกิจ การส่งเสริมความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำและการให้ควาเป็นธรรม การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาลกฎระเบียบต่างทางราชการ( 2.)การปฏิรูปประเทศ อีกทั้งจะให้มีคณะกรรมการคณะย่อยของสศช. 7 คณะ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติทั้ง 6 ด้าน และให้มีคณะกรรมการที่จะดำเนินการเรื่องของสิ่งแวดล้อม ผังเมือง การใช้ที่ดิน การใช้น้ำ เพื่อรองรับนโยบายประเทศไทย 4.0

 

นายวิษณุ กล่าวว่า 2. การพิจารณาเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก( อีอีซี) ที่ถูกวิจารณ์เกี่ยวกับการให้ต่างประเทศเช่าที่ดิน ซึ่งหน่วยงานเกี่ยวข้องเคยชี้แจงแล้วว่าไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ โดยกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใช้เวลาอีกนานกว่าจะเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณา ระหว่างนี้อาจออกมาตรการบางอย่างเกี่ยวกับบางเรื่องออกมาใช้ก่อน

 

นายวิษณุ กล่าวว่า 3.การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการอนุญาตเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรี สั่งการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อรวบรวมข้อมูลจากทุกกระทรวงสำหรับการจดทะเบียนขอจัดตั้งกิจการให้เสร็จภายในเดือนก.ย.นี้ ประชาชนสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มเดียวกับการยื่นขอกับหน่วยงานราชการ โดยใช้เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ดำเนินการผ่านทางศูนย์ดังกล่าวได้เลย เป็นการลดเวลาและขั้นตอนทำให้การอนุมัติคำขอจัดตั้งธุรกิจสะดวกและง่ายขึ้น ทั้งนี้เมื่อขั้นตอนดังกล่าวเดินไปโดยระบบคอมพิวเตอร์ ก็จะช่วยลดการทุจริตได้ โดยผลประชุมทั้ง 3 เรื่องจะเสนอเข้าครม.ในวันที่ 23 พ.ค.นี้เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป