ดีเอสไอ แถลงความคืบหน้ากรณีรถยนต์จดประกอบ

19 พ.ค. 2560 | 05:45 น.
19 พ.ค.60-รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เผยว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีคำสั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ 372/2559 ลงวันที่ 21 เมษายน 2559 มอบหมายให้  พันตำรวจตรี สุริยา สิงกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรณีขบวนการนำรถยนต์ ใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจดประกอบเป็นรถยนต์จากอุปกรณ์ชิ้นส่วนรถยนต์เก่า ทางคณะพนักงานสอบสวน ได้เร่งรัดดำเนินการ ตรวจสอบข้อมูลรถยนต์จดประกอบจากชิ้นส่วนเก่าจากต่างประเทศที่กรมการขนส่งทางบกนำข้อมูลมาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ จำนวน 7,123 คันซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้แบ่งการนำส่งเอกสารข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์จดประกอบเป็น 2 ครั้งครั้งแรกจำนวน 548 ครั้ง ครั้งที่ 2 จำนวน 6,575 คันซึ่งจากการตรวจสอบ จำนวน 7,123 คัน เบื้องต้นพบว่าเข้าข่ายเป็นความผิดจำนวน 3,773 คันดังนี้

1.ความผิดตามมาตรา 27 และ/หรือ มาตรา 27 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2569 จำนวน 1,038 คัน ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเป็นคดีพิเศษแล้ว จำนวน 25 คัน และอยู่ระหว่างการดำเนินงานสืบสวนเพื่อพิจารณาเป็นคดีพิเศษอีก จำนวน 1,013  คัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1.1. รถหรูที่มีมูลค่าเกินกว่า 4 ล้านบาท พบความผิด 98 คัน เป็นคดีพิเศษแล้วจำนวน 25 คัน และอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีพิเศษ จำนวน 73 คัน

1.2. รถที่มีมูลค่าไม่เกินกว่า 4 ล้านบาท พบความผิด จำนวน 940 คัน และอยู่ระหว่างการพิจารณาเป็นคดีพิเศษ

2.ความผิดมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 จำนวน 2,735 คัน ซึ่งได้นำส่งข้อมูลรถจดประกอบให้รถจดประกอบให้กรมศุลกากรพิจารณาดำเนินการเรียกเก็บอากรโครงตัวถังและเครื่องยนต์ที่นำเข้ามาจดประกอบเป็นรถยนต์ครบชุดสมบูรณ์ตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 แล้ว จำนวน 848 คัน และกรมศุลกากรได้ส่งผลการพิจาณาสำหรับรถยนต์ที่คณะกรรมการพิจาณาเรียกเก็บอากรอุปกรณ์ชิ้นส่วนที่นำเข้ามาประกอบเป็นรถยนต์ครบชุดตามมาตรา 6 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 แล้ว มีมติให้เรียกเก็บอาการโครงรถยนต์เก่าใช้แล้ว และเครื่องยนต์เก่าใช้แล้วในพิกัดอัตราศุลกากรในฐานะสิ่งที่สมบูรณ์แล้วนั้นกลับมาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดีอาญา จำนวน 205 คัน และกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ออกเลขคดีพิเศษเพื่อดำเนินคดีอาญาจำนวน 205 คัน และกรมสอบสวนดดีพิเศษได้ออกเลขคดีพิเศษเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มผู้กระทำความผิดไปแล้วจำนวน 27 คัน คงเหลือข้อมูลรถยนต์จดประกอบที่ต้องนำส่งกรมศุลกากรพิจาณา จำนวน 1,887 คัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลข้อมูลหมายเลขตั้งต้นโครงงตัวถังรถยนต์และหมายเลขเครื่องยนต์จากโรงงานผู้ผลิตจากต่างประเทศ

ทั้งนิ้ คดีพิเศษ จำนวน 25 คัน ตามข้อ 1. มีผู่ต้องหาที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิด ประกอบด้วย

1.นิติบุคคล จำนวน 3 บริษัท  2.บุคคลธรรมดา ได้แก่ (1)นักการเมืองท้องถิ่น (2)ข้าราชการตำรวจ (3)เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร (4)อดีตเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก (5)กลุ่มผู้นำเข้ารถจดประกอบ เจ้าของบริษัท และ พนักงานบริษัท (6)คนยื่นขอจดทะเบียนกับการขนส่งทางบก และได้มีการแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาแล้ว

ผู้ครบครองรถปัจจุบัน อย่าหลงเชื่อกลุ่มบุคคลที่แอบอ้างว่าสามารถตกลงกับเจ้าที่ไม่ให้มีการดำเนินคดี และไม่ต้องนำรถยนต์มาส่งมอบให้กับเจ้าที่ดำนเนิการตรวจสอบรถยนต์ เพราะเบื้องต้นรถยนต์ที่ท่านได้ครอบครองไว้ตามรายการดังกล่าวจำนวน 73 คัน มีหลักฐานน่าเชื่อถือว่าอาจเข้าข่ายกระทำผิดตามกฏหมาย ทั้งนี้เพื่อประโยชนต่อผู้ครอบครองรถยนต์ดังกล่าว และเป็นการปกป้องสิทธิของผู้ที่จะครอบครองรถยนต์รายต่อไป จึงให้ท่านนำรถยนต์ที่ครอบครองมาส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฏหมายทั่วไป โดยประสานงานได้ที่ นายนพดล รัตนเสถียร ผู้เชียวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ เบอร์โทรศัพท์ 084-700-1741 สำนักงานรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศ (พันตำรวจตรี สุริยาสิงหกมล)