อาหารสัตว์1.3หมื่นล.คึกคัก ‘เกรทเทสท์’รุกเทกโอเวอร์ ปั้นแบรนด์ชิงตลาดไทย-เทศ

19 พ.ค. 2560 | 07:00 น.
ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง 1.3 หมื่นล้านคึกคัก เติบโตกว่า 15% ทายาทบล.โกลเบล็กฯ ทุ่มงบกว่า 1,000 ล้านบาท เทกโอเวอร์โรงงานย่านอยุธยา พร้อมเดินหน้าปั้น 3แบรนด์น้องใหม่ “เกรท ไททัน-ลินคอล์น-โอเล่”

เป็นกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างมาก สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในเมืองไทย โดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมวที่พบว่าในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมามีแบรนด์ต่างๆ ออกสู่ตลาดทั้งแบรนด์โลคอล ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในประเทศ และแบรนด์อินเตอร์ฯ ที่นำเข้ามา ส่งผลให้การแข่งขันทวีความรุนแรงมากขึ้น และกลายเป็นบลูโอเชี่ยนที่หลายคนสนใจ

โดยนายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานที่ปรึกษา บริษัท เกรทเทสท์ เพ็ทแคร์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ โกลแบล็ก จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ ภายใต้แบรนด์ เกรท ไททัน , โอเล่ , ลินคอล์น ฯลฯ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากเข้าซื้อกิจการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมื่อปีก่อนพร้อมปรับปรุง ซื้อเครื่องจักรใหม่ เพิ่มไลน์ผลิต วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) ล่าสุดบริษัทเริ่มวางจำหน่ายอาหารสุนัขภายใต้แบรนด์ "โอเล่" สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับแมส และ "เกรท ไททัน" สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมี่ยม อาหารแมว "ลินคอล์น" อาหารเปียกแมว "เชอร์แมน" นอกจากนี้ยังมีอาหารปลา และอาหารกบ "จีไอพีฟีด" ด้วย

ทั้งนี้บริษัทใช้เงินลงทุนในการรีโนเวต R&D รวมถึงสั่งซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศไปรวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อผลิตอาหารสุนัขและแมว ทั้งประเภทเปียกและเม็ด รวมถึงแสน็คสำหรับสุนัขและแมว รวมทั้งสิ้นกว่า 100 รายการ เพื่อรองรับความต้องการของตลาด

หลังจากที่ศึกษาตลาดอาหารสัตว์ทั้งในไทยและต่างประเทศพบว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงในอาเซียนมีมูลค่าสูงกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ประเทศไทยมีมูลค่าราว 2.6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท มีการเติบโต 16% โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ อันดับ 5 ทำให้มองเห็นเป็นโอกาสในการรุกธุรกิจในประเทศ และใช้ไทยเป็นฐานในการทำตลาดต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในเมืองไทยภายใน 5 ปีนับจากนี้

"ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ทำให้บริษัทเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุน ซึ่งปัจจุบันทั้ง 3 ไลน์ผลิต ได้แก่ ไลน์อาหารสุนัข , อาหารปลาและกบ และอาหารเกรดพรีเมี่ยม มีกำลังการผลิตราว 3,000 ตันต่อเดือน และในอนาคตบริษัทมีแผนรับจ้างผลิตหรือโออีเอ็มให้กับอาหารสัตว์เศรษฐกิจอื่นๆ อีกด้วย" นายธนพิศาลกล่าว

เกรทเทสท์ มีผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ และมีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด และมีความหลากหลาย ซึ่งปัจจุบันพบว่า ด้วยไลฟ์สไตล์คนที่ครอบครัวมีขนาดเล็กลง แต่งงานช้า มีบุตรช้า และก้าวสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้หันมานิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้น

ด้านกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทเริ่มกระจายสินค้าเพื่อทดลองจำหน่ายพร้อมทำกิจกรรม ณ จุดขาย อาทิ การแจกสินค้าตัวอย่าง ฯลฯ ผ่านโมเดิร์นเทรด และร้านเพ็ทช็อปตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งพบว่า ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้เชื่อมั่นและมีแผนขยายช่องทางการจำหน่ายให้เข้าถึงทั้งโมเดิร์นเทรดและเพ็ทช็อปทั่วประเทศภายในปีนี้

"เป้าหมายในปีนี้คือ สร้างการรับรู้ต่อแบรนด์สินค้าที่มีอยู่ และเจาะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ กลุ่มคนรักหมาแมวพร้อมทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันผ่านโลกโซเชียล เพื่อสร้างรอยัลตี้ให้เกิด นอกจากนี้จะเน้นการกระจายสินค้าให้เข้าถึง เพื่อให้ลูกค้ารู้จัก คุ้นเคย การทำกิจกรรม ณ จุดขาย เพื่อให้เกิดการทดลองกินและซื้อซ้ำ ซึ่งจะทำให้รับรู้ถึงคุณภาพของอาหารเกรดพรีเมี่ยม และเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากในชุมชนเดียวกัน รวมถึงการร่วมออกบูธ ในงานแฟร์ต่างๆ อาทิ เพ็ท เอ็กซ์โป ไทยแลนด์ 2017 เป็นต้น "

นายธนพิศาล กล่าวว่า วันนี้ตลาดอาหารสุนัขซึ่งเป็นเซกเม้นท์ที่ใหญ่สุดในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง ยังมีช่องว่างอีกมากระหว่างผลิตภัณฑ์กลุ่มแมสและพรีเมี่ยม เห็นได้จากการเกิดแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งแบรนด์โลคอลและแบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ผลิตอาหารคุณภาพ และราคาคุ้มค่า โดยในปีแรกนี้ ถือเป็นปีเริ่มต้นในการศึกษาและวางแผนธุรกิจ ส่วนในปีหน้าเชื่อว่าจะเป็นปีที่บริษัทสามารถก้าวเดินได้อย่างแข็งแรง และเริ่มมีส่วนแบ่งตลาด โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีแชร์ 1% ของตลาดอาหารสัตว์ในทุกๆ แบรนด์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,262 วันที่ 18 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560