ฟื้นโครงการ‘คลองไทย’ คนใต้เสนอรัฐ ‘ตั้งทีมศึกษา’

15 พ.ค. 2560 | 09:00 น.
อัปเดตล่าสุด :15 พ.ค. 2560 | 16:21 น.
สมาคมการค้าและอุตสาหกรรมไทย-จีน จัดเสวนา “คลองไทย หัวใจของชาติ ของประชาชน” ขึ้นทั้งที่จังหวดกระบี่และจังหวัดตรัง เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยทั้ง 2 เวที มี พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานคณะกรรมการศึกษาโครงการคลองไทย เป็นประธาน

โดยเป็นการให้ความรู้และรับฟังความเห็นของประชาชน หัวหน้าราชการ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน เกี่ยวกับโครงการขุดคลองไทย ตามแนว 9A ซึ่งกำหนดขุดผ่าน 5 จังหวัด ประกอบด้วย กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ตามแผนงานใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,680,000 ล้านบาท ระยะทางยาว 140 กิโลเมตร กว้าง 300-400 เมตร ลึก 30 เมตร ลักษณะเป็นคลอง 2 คลองคู่ขนานไปและกลับ มีการสร้างสะพานแขวน สะพานโค้ง และสะพานเชื่อม 2 ฝั่งคลอง ทั้งทางบกและทางรถไฟ โดยคาดการณ์ว่าจะทำรายได้ 120,000 ล้านบาทต่อปี ระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี ใช้เวลา 14 ปีคืนทุน ลดเส้นทางเดินเรือได้ 700 กิโลเมตร จากเดิมที่ต้องไปอ้อมช่องแคบมะละกา จึงมีแนวคิดก่อสร้างโครงการดังกล่าวขึ้น หวังให้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางทะเลเพิ่มอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาค

[caption id="attachment_148794" align="aligncenter" width="503"] ชาวจังหวัดตรังสนับสนุนให้มีการตั้งกรรมการศึกษาโครงการคลองไทย ชาวจังหวัดตรังสนับสนุนให้มีการตั้งกรรมการศึกษาโครงการคลองไทย[/caption]

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดเวทีเสวนาทั้งที่จังหวัดกระบี่และจังหวัดตรัง ประชาชน และภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยว ยังคงมีความกังวลในเรื่องผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากโครงการ จึงต้องการให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ โอกาส และอุปสรรคของการขุดคลองไทย ในเชิงลึกต่อไป

พล.อ.พงษ์เทพ ระบุว่า หากมีการขุดคลองไทยจริง คิดว่าประเทศไทยจะได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะเกิดการแข่งขันกันสูง เนื่องจากจะะเกิดประโยชน์กับประเทศและชาวโลก ส่วนเกณฑ์การวัดความคุ้มค่าของโครงการที่จะต้องแลกกับทรัพยากรธรรมชาติ หรือด้านสิ่งแวดล้อม ยังตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับคนที่จะเป็นคณะทำงานศึกษาคลองไทยที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น เพราะจะต้องศึกษาในรายละเอียดลึกซึ้งทุกด้าน ทั้งผลกระทบกับวิถีชีวิต สิ่งมีชีวิต สัตว์ สิ่งแวดล้อม รวมถึงกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ

“การศึกษาคาดว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำในคณะศึกษา ประกอบป็นเรื่องเก่าที่นำมาปัดฝุ่นใหม่ มีการศึกษาไปแล้วหลายยุคหลายสมัย แต่ต้องล้มพับ แต่ปัจจุบันระบบเทคโนโลยีในการศึกษา ในการพัฒนา รวมทั้งการขุดต่างๆ พัฒนาไปเร็วมาก ดังนั้นเรื่องถ้ามีการหยิบเรื่องนี้มาศึกษาอย่างจริงจัง และวางแผนรองรับจะเกิดประโยชน์กับประเทศไทย และชาวโลก”

[caption id="attachment_148793" align="aligncenter" width="503"] พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เป็นประธานเสวนาโครงการคลองไทย พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป เป็นประธานเสวนาโครงการคลองไทย[/caption]

พล.อ.พงษ์เทพ ย้ำว่า ขั้นตอนขณะนี้คือนำข้อมูลความรู้มาให้ประชาชนรับทราบในกรอบกว้างๆ เท่านั้น ไม่ใช่ในเชิงลึก ซึ่งหากประชาชนในพื้นที่เห็นว่าดี ก็จะเป็นแรงสนับสนุนสะท้อนความต้องการ ขณะเดียวกันภาควิชาการ ก็ต้องเข้ามาศึกษาด้วย ซึ่งหากเห็นว่าเป็นโครงการที่มีหลักการและเหตุผลที่ดี สามารถจัดประชุมสัมมนาหรือเสวนาขึ้น เพื่อให้มีความผสมผสานและมีน้ำหนักเพียงพอที่จะเสนอรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีให้ทำการศึกษาต่อไป

ส่วนที่มีความกังวลว่า การขุดคลองไทยเป็นการแบ่งแยกแผ่นดิน พล.อ.พงษ์เทพ ชี้ว่า จะเป็นการรวม 2 ทะเลของภาคใต้ระหว่างอ่าวไทย-อันดามัน เข้าด้วยกัน และเป็นการสร้างความเจริญและความผกผันในพื้นที่ ในด้านการสร้างงาน สร้างโอกาส แต่จะต้องมีการจัดทำแผนรองรับอย่างละเอียดรอบคอบ

“เรื่องนี้เมื่อมีพื้นฐานอยู่แล้วเพียงนำมาปัดฝุ่นให้ชัดเจนว่าเป็นไปได้หรือไม่ แต่ถ้าไม่มีการหยิบยกขึ้นมาศึกษากันอย่างจริงจัง เท่ากับว่าเป็นการสูญเสียโอกาสอย่างมหาศาล ตอนนี้ในฟากของรัฐสภาเห็นชอบแล้ว เหลือก็แต่ฝ่ายรัฐบาลจะพิจารณา ซึ่งผลการศึกษาและเสียงของประชาชนจะเป็นตัวบ่งชี้”

ด้าน นายชวน ภูเก้าล้วน นายกสภาการศึกษาจังหวัดกระบี่ ระว่า การเสวนาเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ประชาชนในพื้นที่เห็นความสำคัญและเข้ามามีบทบาท ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนคลองไทย ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าชาวกระบี่ทุกคนได้ร่วมคิดร่วมทำกันมาตลอดไม่ว่าจะเป็น การสร้างสนามบิน, มหาวิทยาลัยอันดามัน และโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามัน

“โครงการนี้ถือว่าเป็นเรื่องระดับประเทศ ก็อยากจะฝากถึงชาวกระบี่ทุกคนออกมาร่วมกันคิดร่วมกันสร้างเมืองกระบี่ สู่การพัฒนาต่อไปเพื่อลูกหลานในวันข้างหน้า”

ผศ.ดร.อภิรักษ์ สงรักษ์ นักวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยตรัง กล่าวว่า โครงการจุดคลองไทย มีการพูดคุยมานานหลาย 10 ปี ที่ผ่านมามีการโยนหินถามทาง สุดท้ายเส้นทาง 9A เป็นเส้นทางที่พูดคุยกันมาก เส้นทางยาวและสร้างเศรษฐกิจได้มากขึ้น ในแง่ของความเจริญคนใต้เข้าใจ และถึงเวลาที่จะต้องพัฒนาในบางเรื่อง แต่ต้องมีข้อมูลให้ดี ทั้งในแง่ของความคุ้มค่า สังคม และที่สำคัญทางภาคใต้มีฐานทรัพยากรทางทะเลที่ดี ดังนั้นการดูแลในเรื่องของฐานทรัพยากรต้องมีการศึกษาข้อมูลให้ชัดเจนมากกว่านี้

ดร.สุเมธ สุวรรณพรหม วิศวกรผู้ทรงคุณวุฒิ กรรมการบริหารมูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปภัมภ์ ชี้ว่า เรื่องคลองไทย เป็นเรื่องของคนไทยทั้งชาติ ไม่เฉพาะคนภาคใต้ เป็นผลประโยชน์ที่ควรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติมานานแล้ว ทำไมต้องไปสนใจสิงคโปร์ หรือประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย ในอดีตไม่เห็นจะมีการขุดคลองไทย ก็เกิดการแบ่งแยกแผ่นดินทั้งนั้น ทั้ง เปอร์ลีส กลันตัน ตรังกานู ไทรบุรี ปีนัง ฝรั่งเศสก็เอาแผ่นดินริมฝั่งแม่น้ำโขงไปมาก

“เรื่องโครงการคลองไทย ต้องอาศัยผู้นำที่มีความรู้สามารถและต้องเป็นผู้นำที่มีความกล้าหาญ ส่วนตัวผมในฐาะวิศวกรได้ยินเนื่องคอคอดกระ มา 40 ปี ชีวิตที่เหลือจากนี้จะอุทิศให้กับการศึกษาโครงการสร้างคลองไทยตลอดชีวิต”

+++ต้องศึกษาลึกทุกมิติ
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีตส.ส.ตรัง สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงโครงการขุดครองไทยว่า ในกระบวนการศึกษาจะต้องลงลึกมากในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อชุมชน รวมถึงด้านคามมั่นคงระหว่างประเทศด้วย

นอกจากนั้นกรรมการที่จะตั้งขึ้นจะต้องมีส่วนร่วมของภาคประชาชน 3.การตั้งกรรมการศึกษาจำเป็นต้องคำนึงถึงระยะเวลา เช่น ใช้เวลาศึกษา 1 ปี และต้องสรุปผลการศึกษายื่นต่อรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นใครในขณะนั้น สมมติ คณะกรรมการฟังความเห็นครบ 5 จังหวัด คนส่วนใหญ่เห็นว่าต้องตั้งกรรมการศึกษา ยื่นเรื่องไปยังรัฐบาล ตนก็อยากฝากถึงรัฐบาลขณะนี้ อย่ามองเรื่องนี้ว่าเกรงว่าจะเป็นการสร้างความขัดแย้ง แต่ให้มองว่า

1.เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการคำตอบที่ชัดเจน 2.อย่างน้อยที่สุดคนภาคใต้ ต้องการโครงการขนาดใหญ่ที่จะตอบโจทย์ได้ว่าคนภาคใต้ได้ผลประโยชน์อย่างแท้จริงด้วย ไม่ต้องกังวลเรื่องความขัดแย้ง เพราะสามารถที่จำกัดพื้นที่ในการถกเถียงให้ไม่บานปลายไปสู่ความขัดแย้งได้

“ถ้ารัฐบาลชุดนี้ตั้งกรรมการศึกษา มีเวลาจากวันนี้ไปจนถึงเวลาที่จะเลือกตั้ง ผมเชื่อว่าอีก 1 ปีเศษ โอกาสที่จะตั้งกรรมการศึกษามีความเป็นไปได้ สมมติไปถึงจุดหนึ่งที่ เปลี่ยนเป็นรัฐบาลชุดถัดไป รัฐบาลใหม่ก็ต้องยืนยันว่าให้ศึกษาต่อหรือไม่ และเมื่อศึกษาจบแล้ว สมมติว่าจะสร้าง ยังต้องใช้ระยะเวลาและกระบวนอีกยาว แต่ผมหวังว่ากระบวนการศึกษาเมกะโปรเจคตัวนี้ จะมีผลต่อการศึกษาพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจของภาคใต้ด้วย เห็นด้วยควรส่งให้รัฐบาลไปตั้งกรรมการศึกษา”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,261 วันที่ 14 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560