‘อิงเกรส’ผู้นำผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อาเซียนจ่อเข้าตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3

03 พ.ค. 2560 | 10:00 น.
“อิงเกรส” ผู้นำผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ระดับอาเซียนรายแรก เล็งเข้าตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3 นี้ ระดมทุนรับการขยายฐานการผลิต อุตสาหกรรมรถยนต์อาเซียนฟื้นตัวแรง อินเดียเติบโตสูง

นายอับดุล ราฮิม บินฮายี ฮิตัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิงเกรส อินดัสเตรียล (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ (INGRS) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯได้แปรสภาพเป็นมหาชนและมีทุนจดทะเบียน 1,446,942,690 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยมีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO ต่อประชาชนในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 578,442,900 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ เพื่อรองรับการขยายฐานการผลิต เพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและใช้คืนเงินกู้ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ประเทศไทย เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ INGRS ภายในไตรมาส 3 ปีนี้

ทั้งนี้ INGRS เป็นผู้นำของอาเซียนในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้รับการส่งออกทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตในประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียและอินเดีย โดยบริษัทมีวิสัยทัศน์เป็นบริษัทอาเซียนที่มีเครือข่ายทั่วโลก จึงพัฒนาความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี การผลิตระดับสากล สามารถแข่งขันได้ในทุกตลาดสำคัญในอาเซียนซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพสูง ทำให้มีธุรกิจที่มั่นคงแข็งแรง

สำหรับผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ มี 3 กลุ่มคือ ผลิตภัณฑ์รีดขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์ปั๊มขึ้นรูปและโมดุล และเครื่องมือยึดจับและแม่พิมพ์ และระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ โดย INGRS จุดเด่นมีโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่เน้นผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูง ให้กับกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำอาทิ ฮอนดา มิตซูบิชิ ฟอร์ด มาสด้า เจนเนอรัล มอร์เตอร์ อีซูซุ ซูซุกิ นิสสัน โตโยตา ไดฮัทสุ เพอโรดัว และโปรตอน รวมถึงบริษัทรถยนต์ในอินเดียอาทิ มารูติ-ซูซุกิ เฟียต และ มหินดรา-มหินดรา และด้วยการมีฐานการผลิต 10 แห่งใน 4 ประเทศ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และมั่นคง ทั้งในด้านคุณภาพ ต้นทุน และการส่งมอบสินค้า ทำให้ธุรกิจของบริษัทฯมีความมั่นคงสูง

นอกจากนี้มุ่งเน้นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยพัฒนาสายการผลิต การออกแบบและผลิตเครื่องมือ การผลิตชิ้นส่วน การปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง การตลาดและการขายสินค้าให้กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มรถยนต์นั่ง รถตรวจการณ์ รถกระบะขนาด 1 ตันและ รถบรรทุกขนาดเล็กให้กับลูกค้าต่างๆในประเทศอาเซียน ซึ่งการมีฐานธุรกิจในหลายประเทศ ทำให้บริษัทมีโอกาสในการเติบโตของรายได้และกำไรในอนาคต จากหลายประเทศ

นายอับดุล กล่าวว่า สำหรับงบปี 2560 สิ้นสุด 31 มกราคม 2560 บริษัทฯ มีรายได้รวม 2,916 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิสำหรับปี 210.40 ล้านบาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายทางภาษีตามเกณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจำนวน 32 ล้านบาท ซึ่งกำไรเติบโตขึ้น 19% จากกำไรสำหรับปี* 177 ล้านบาทในปี 2558 แม้รายได้รวมจะลดลงจาก 3,159 ล้านบาท ตามสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ชะลอตัว เนื่องจากบริษัทมีอัตรากำไรสุทธิพุ่งขึ้น เป็น 7.2% โดยบริษัทฯคาดว่า จะได้รับประโยชน์จากสภาพเศรษฐกิจของอาเซียนที่ปรับตัวดีขึ้นและจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆสู่ตลาด ทั้งนี้ บริษัทฯมีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ หลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินรวมและภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฏหมาย

นอกจากจุดแข็งด้านคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูงและบุคคลากรมืออาชีพแล้ว บริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญจากประเทศญี่ปุ่นคือ บริษัท คาตายามา โคเกียว จำกัด , บริษัท เมทัล เท็ค จำกัด และบริษัท อิวาโมโต จำกัด