"รถติดก๊าซ" แห่ถอดถัง! 8 พันคัน ต่อเดือน

03 พ.ค. 2560 | 07:49 น.
ราคานํ้ามันตํ่า รถยนต์ใช้ก๊าซทยอยถอดถัง กรมการขนส่งทางบกเผย 15 เดือน ยอดรถยนต์จดทะเบียนหายไป 7.78 หมื่นคัน ส่งผลกระทบทั้งอู่ติดตั้ง สถานีบริการทยอยปิดตัว ปริมาณการใช้ตกวูบ 7.5%

ผลจากราคานํ้ามันที่ตกตํ่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กำลังส่งผลกระทบกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวหรือแอลพีจีและก๊าซเอ็นจีวีที่ใช้ในรถยนต์โดยมีสถิติจากกรมการขนส่งทางบก พบว่าในช่วงปี 2558 มียอดรถยนต์ใช้ก๊าซแอลพีจีที่มาจดทะเบียนมีอยู่จำนวน 1.248 ล้านคัน แบ่งเป็น รถยนต์ที่ใช้แอลพีจีจำนวน 2.413 หมื่นคัน เป็นรถยนต์ที่ใช้แอลพีจีและเบนซิน 1.219 ล้านคัน เป็นรถยนต์ที่ใช้แอลพีจีและดีเซล จำนวน 4,852 คัน และมีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวี ที่มาจดทะเบียน จำนวน 4.162 แสนคัน แบ่งเป็น รถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี จำนวน 6.56 หมื่นคัน รถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวีและเบนซิน 3.458 แสนคัน รถยนต์ที่ใช้
เอ็นจีวีและดีเซล 4,724 คัน

แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อราคานํ้ามันในตลาดโลกปรับตัวลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกนํ้ามันสำเร็จรูปภายในประเทศปรับตัวลดลงตามอยู่ในระดับตํ่า ประกอบกับมีข่าวอุบัติเหตุรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซเกิดไฟไหม้บ่อยครั้ง ส่งผลให้ผู้ที่เคยติดตั้งก๊าซ ต่างทยอยเลิกใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ และถอดถังก๊าซออก หันมาใช้นํ้ามันแทน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำมัน
ล่าสุดสิ้นเดือนมีนาคม 2560 กรมการขนส่งทางบกรายงานว่า มีรถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจี มียอดสะสมอยู่เพียง 1.173 ล้านคัน หรือลดลงไป 7.486 หมื่นคัน นับจากสิ้นปี 2558 เป็นต้นมา หรือมีรถยนต์ที่เลิกใช้ก๊าซแอลพีจีเฉลี่ย 4,991 คันต่อเดือน ส่วนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีมียอดสะสมอยู่ที่ 4.002 แสนคัน ลดลงมา 1.597 หมื่นคัน หรือลดลงเฉลี่ย 1,064 คันต่อเดือน ขณะที่อู่ติดตั้งถังก๊าซ ทั่วประเทศก็ลดลงเหลือกว่า 100 แห่ง เท่านั้น ซึ่งในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2560 มีรถยนต์ที่เลิกใช้ก๊าซแอลพีจีแล้วจำนวน 2.372 หมื่นคัน นับจากยอดสะสมสิ้นเดือนธันวาคม 2559 หรือลดลงเฉลี่ยเดือนละ 7,907 คัน และมีรถยนต์ที่เลิกใช้ก๊าซเอ็นจีวีจำนวน 4,264 คัน หรือลดลงเฉลี่ยเดือนละ 1,421 คัน

นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังจากราคานํ้ามันที่ปรับตัวลดลง ส่งให้ผู้บริโภคบางส่วนหันมาใช้นํ้ามันแทนแอลพีจีและเอ็นจีวี โดยเฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคลที่เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในเดือนมีนาคม 2560 ยอดใช้แอลพีจีอยู่ที่ 1.17 แสนตัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.27 แสนตัน ลดลง 7.5%

ขณะที่สถานีบริการแอลพีจี ตอนนี้มีอยู่กว่า 2,093 แห่ง เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 2,071 แห่ง และเพิ่มขึ้นจากปี 2558 เล็กน้อย โดยขยายตัวไม่มากนักโดยเฉพาะการยื่นขอสถานีบริการใหม่ๆ แทบจะไม่มีเพิ่มแล้ว เนื่องจากยอดขายที่ลดลง หลังจากผู้บริโภคหันไปใช้นํ้ามันที่มีราคาถูกแทน อย่างไรก็ตามในส่วนของสถานีบริการแอลพีจีแม้จะไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่ส่วนหนึ่งหันมาปรับปรุงหรือเพิ่มการจำหน่ายนํ้ามันด้วย เพื่อรองรับการใช้แอลพีจีที่ลดลง
สำหรับสถานีบริการเอ็นจีวีลดลงต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 462 แห่ง ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 488 แห่ง สาเหตุมาจากผู้บริโภคหันไปใช้นํ้ามันดีเซลแทน ขณะที่ยอดใช้เอ็นจีวีเดือนมีนาคมที่ผ่านมาอยู่ที่ 7.3 พันตันต่อวัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.5 พันตันต่อวัน หรือลดลง 13%

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รถติดแก๊ส

สำหรับยอดใช้แอลพีจีภาคขนส่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่าลดลงต่อเนื่องจากปีก่อน โดยยอดใช้แอลพีจีผ่านสถานีบริการอยู่ที่ 3.8 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 4.15 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ขณะที่การใช้เอ็นจีวีอยู่ที่ 7 ล้านกิโลกรัมต่อวัน จากกที่เคยขึ้นไปถึง 8 ล้านกิโลกรัมต่อวัน และหากราคานํ้ามันยังทรงตัวระดับตํ่า ยอดใช้แอลพีจีและเอ็นจีวีจะทยอยลดลงอีก

นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมความต้องการใช้แอลพีจีในภาคขนส่งลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากผู้บริโภคถอดถังก๊าซออก โดยเฉพาะถังเอ็นจีวี แต่ในส่วนของแอลพีจี คาดว่าจะมีปริมาณรถยนต์ที่ถอดถังก๊าซออกไม่มาก เพราะหากเทียบราคาแอลพีจีกับนํ้ามัน ยังมีส่วนต่างกัน 10 บาทต่อลิตร

นายจรูญ เอี่ยมสะอาด ประธานกรรมการ บริษัท เอ็นเอสแก๊ส แอลพีจี จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทได้รับผลกระทบจากยอดขายแอลพีจีภาคขนส่งที่ปรับลดลง หลังจากราคานํ้ามันถูกลง แม้ว่าบริษัทจะยังไม่มีแผนปิดสถานีบริการแอลพีจี ที่ขณะนี้มี 16 แห่ง แต่ก็ต้องปรับตัวโดยหันไม่เพิ่มสัดส่วนยอดขายแอลพีจีในภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น

“การถอดถังแอลพีจีและเอ็นจีวีออก ส่วนหนึ่งมาจากการกลับไปใช้นํ้ามัน ผู้ใช้รถยนต์บางรายก็ตัดสินใจถอดถังออก ประกอบกับรถใหม่ติดตั้งถังเพิ่มไม่มาก ทำให้ยอดใช้แอลพีจีช่วงนี้ลดลง” “นายจรูญ กล่าว