100 วัน โดนัลด์ ทรัมป์: อาวุธ น้ำมัน และวอลล์สตรีต

03 พ.ค. 2560 | 00:00 น.
วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 100 วัน กับการขึ้นมาดำ รงตำ แหน่งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ อเมริกา มีการประเมิน วิเคราะห์กันทั่วโลกว่าผลงานของทรัมป์เป็นอย่างไรกันบ้าง ทรัมป์ขึ้นมาครองบัลลังก์ของสหรัฐฯกับหลายนโยบาย หลายคำสั่งพิเศษ ถือว่าเขาเป็นผู้นำสหรัฐฯที่ใช้อำนาจพิเศษออกคำ สั่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์

แต่มองสหรัฐฯให้ลึก ก็ต้องมองไปที่ 3 เสาหลัก ที่เป็นตัวขับเคลื่อนทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นอยู่ได้แบบในทุกวันนี้ นั่นก็คือ สหรัฐฯเป็นพ่อค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก สหรัฐฯเป็นมหาอำนาจน้ำมันรายใหญ่แห่งหนึ่งของโลก และสุดท้ายก็คือ สหรัฐฯคือพ่อมดที่ควบคุมภาคการเงินของโลกตัวจริง

100 วันแรกของนายทรัมป์นั้น มาพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลง และการกระตุ้น 3 เสาหลักที่ว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ อย่างแรก คือ ความเป็นพ่อค้าอาวุธของสหรัฐฯ สังเกตได้ว่า ทรัมป์พูดยกยอปกปั้นอาวุธที่เป็นสินค้าของสหรัฐฯอย่างออกหน้าออกตาอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงขีปนาวุธโทมาฮอว์คที่ชมว่าดีนักดีหนา พูดถึงกองเรืออาแมนดา ที่ว่าไม่ใช่กองเรือบรรทุกเครื่องบินธรรมดาๆ

[caption id="attachment_145516" align="aligncenter" width="503"] โดนัลด์ ทรัมป์ โดนัลด์ ทรัมป์[/caption]

ทรัมป์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งไปพร้อมๆกับการปลุกกระแสให้เกิดความหวาดกลัวในสถานการณ์ความมั่นคงโลก ไม่ว่าจะเป็นการที่อยู่ดีๆ ก็ยิงขีปนาวุธใส่ซีเรียไป 59 ลูก และขณะเดียวกัน ก็กำลังปลุกเร้าให้สถานการณ์ความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลีตึงเครียดขึ้นมาเรื่อย มีการส่งกองเรืออาแมนดา เรือดำน้ำยูเอสเอส มิชิแกน ที่ติดตั้งขีปนาวุธไว้เพียบ รวมไปถึงเรือบรรทุกเครื่องบินคาร์วินสันอีก

และแน่นอนครับ เมื่อไหร่ที่สถานการณ์ตึงเครียดขึ้น บรรดาหุ้นบริษัทผู้ผลิตอาวุธทั้งในสหรัฐฯ หรืออังกฤษ ก็พุ่งขึ้นต่อเนื่อง โดนัลด์ ทรัมป์ ยังประกาศที่จะเพิ่มงบทหารขึ้นอีกราว 10%

เสาหลักต่อมาคือ น้ำมัน ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดก็คือ ทรัมป์ออกคำสั่งเดินหน้าก่อสร้างท่อส่งน้ำมันดาโกต้า จากแคนาดามายังดาโกต้า หลังจากโครงการดังกล่าวถูกระงับไป ทรัมป์ยังไม่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโลกร้อนและสนับสนุนการใช้พลังงานจากฟอสซิลอย่างเต็มที่ ในขณะนี้สหรัฐฯกำลังส่งออกน้ำมันมากขึ้น มีการผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้นจากเชลล์ ออยล์ (น้ำมันในชั้นหินใต้ดิน)

และที่น่าสนใจก็คือ นาย เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็เคยดำรงตำแหน่งสูงในบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ อย่างเอ็กซอน โมบิล ที่มีความสนิทคุ้นเคยกับรัสเซีย มหาอำนาจน้ำมันอีกแห่งหนึ่งของโลกด้วยเช่นกัน
เสาหลักสุดท้ายคือ วอลล์สตรีท ทรัมป์เป็นหนึ่งในผู้นำอเมริกาที่ขึ้นมาพร้อมๆกับการกระตุ้นวอลล์สตรีท จนทำให้ดัชนีหุ้นพุ่งขึ้นทำลายสถิติครั้งแล้วครั้งเล่า

ดาวโจนส์ทะลุ 21,000 จุดไปแล้ว ขณะที่นับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นมาก็ทำให้เอสแอนด์พี-500 พุ่งขึ้นไปกว่า 11% มีเพียงอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี เท่านั้นที่ทำผลงานได้ดีกว่าทรัมป์ คือทำให้เอสแอนด์พี-500 พุ่งขึ้นไปถึง 18%

เพราะทรัมป์ ได้ใช้นโยบายที่ทำให้ภาคธุรกิจ ภาคการเงินคาดหวังกับอนาคตที่น่าจะดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนโยบายลดภาษีนิติบุคคล ยกเลิกกฎระเบียบทางการเงินที่เป็นอุปสรรคต่อการแสวงหาผลประโยชย์ของบรรดาธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินต่างๆ อย่างกฎหมายดอดด์-แฟรงก์ ที่อดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามาคลอดออกมาล้อมคอกทางการเงินไม่ให้มีการแสวงหาผลกำไรจนทำให้เกิดความเสี่ยงมากเกินไป

แต่ทว่าในช่วง 100 วันแรก สิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงมือทำนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดให้ "เชื่อ" ให้เกิดความคาดหวังมากกว่า โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจ ซึ่งในขณะนี้ ยังไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ทรัมป์ได้กระตุ้นทั้ง 3 เสาหลักในช่วง 100 วันแรกนั้นจะออกดอกออกผลได้จริงหรือไม่ ในท้ายที่สุดบรรยากาศโลกจะจมไปกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ตามที่สหรัฐฯต้องการหรือ นโยบายการลดภาษีนิติบุคคลของทรัมป์ คาดว่าน่าจะถูกต่อต้านไม่น้อยจากสภาคองเกรส เพราะจะยิ่งทำให้รัฐบาลสหรัฐฯขาดดุลงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็คือราคาน้ำมัน เพราะหากสหรัฐฯยิ่งผลิตน้ำมันออกมาเพิ่มก็จะยิ่งทำให้น้ำมันล้นตลาด และราคาก็อาจจะดิ่งลงไปอีก แม้ว่ากลุ่มโอเปกจะพยายามลดกำลังการผลิตลงแล้วก็ตาม

น่าจะเป็น 100 วันแรกที่เรียกว่า "ออเดิฟส์" ครับ หลังจากนี้เราจึงน่าจะได้เห็นเนื้องานจริงๆของ โดนัลด์ ทรัมป์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,258 วันที่ 4 - 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560