แนะปรับตัวรอบมิกซ์ยูส สัมมากรจับตลาดเฉพาะกลุ่ม-เน้นบริการลูกค้า

03 พ.ค. 2560 | 03:00 น.
กูรูอสังหาฯ-ดีเวลอปเปอร์ แนะผู้ประกอบการในพื้นที่โครงการบิ๊กมิกซ์ยูสที่จะเกิดในอนาคต เตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง ซีบีอาร์อี มองบวกก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ สัมมากรชี้เน้นจับตลาดที่ถนัด เสนาปรับแผนพัฒนาโครงการใหม่

การเกิดขึ้นของโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ที่มีการคาดการณ์กันว่าจะมีพื้นที่อาคารสำนักงาน โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ คอนโดมิเนียม ค้าปลีก เข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ถึงกว่า 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งอาจทำให้โครงการต่างๆที่อยู่โดยรอบโครงการเหล่านนั้นได้รับผลกระทบ

นายนิธิพัฒน์ ทองพันธุ์ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงาน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ต้องยอมรับว่าโครงการมิกซ์ยูสที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น จะส่งผลกระทบต่อโครงการต่างๆโดยรอบอย่างแน่นอน เนื่องจากโครงการที่เกิดขึ้นใหม่ถูกออกแบบและพัฒนาให้สอดรับกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า ดังนั้นโครงการเก่าในพื้นที่จึงต้องปรับปรุง เช่น อาคารสำนักงานเก่า

ก็ต้องเพิ่มส่วนงานบริการ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของอาคาร รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางให้มากขึ้น ขณะที่ศูนย์การค้า ต้องสร้างจุดดึงดูดกับลูกค้า เนื่องจากปัจจุบันลูกค้านิยมซื้อสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ การที่จะมาเดินซื้อสินค้าในห้างคงไม่จำเป็น ผู้ประกอบการจึงต้องมุ่งเน้นในส่วนนี้ให้มากขึ้น

“การเกิดขึ้นของโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ส่วนตัวมองว่ามีผลบวกมากกว่าผลลบ เพราะจะทำให้เกิดการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ในตลาด ผู้ประกอบการจะคิดค้นวิธีการเพื่อดึงดูดผู้บริโภค สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงก็คือผู้บริโภคนั่นเอง”

ด้าน นายกิตติพล ปราโมช ณ อยุธยากรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผู้พัฒนาโครงการที่จะได้รับผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ ส่วนตัวมองว่าธุรกิจบริการอย่างโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องของราคาเนื่องจากโรงแรมที่เกิดใหม่ในโครงการมิกซ์ยูสเหล่านี้ ล้วนเป็นโครงการที่บริหารงานโดยเชนโรงแรมต่างชาติที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทำให้อัตราค่าเช่าห้องระดับ 5 ดาวสูงกว่าโรงแรมโดยรอบพื้นที่ใกล้เคียง ขณะที่โรงแรมแบรนด์ของคนไทยแม้ห้องพักจะจัดอยู่ในระดับเดียวกัน แต่การขยับราคาให้เทียบเท่ากันนั้นคงเป็นได้ยาก

ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องมุ่งเน้นตลาดที่ตนเองมีความถนัด รวมทั้งต้องมีการนำเรื่องของเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการ ส่วนกลุ่มเซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ มองว่าจะเป็นการแข่งขันกันเองของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่พัฒนาโครงการ ในส่วนของผู้ประกอบการเจ้าเดิมในตลาดยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะเชื่อว่าอัตราค่าเช่าจะถูกกว่าโครงการที่จะเกิดขึ้นใหม่แน่นอน

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและกรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่มีแผนจะพัฒนาโครงการในพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการเหล่านี้ อาจต้องมีการปรับแผนงานใหม่ เพื่อให้สอดรับกับโครงการที่จะเกิดขึ้น พยามเปิดตัวก่อนเพื่อดึงกำลังซื้อ

“เสนามีแผนจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ในย่านใจกลางธุรกิจ แต่เมื่อผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส บริษัทก็ต้องกลับมาพิจารณาแผนงานดังกล่าวใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าโครงการลีสโฮลด์ (การครอบครองอสังหาฯแบบไม่โอนกรรมสิทธิ์) จะยังไม่เป็นที่นิยมของลูกค้าคนไทย แต่ด้วยราคาที่ดินย่านใจกลางเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับจำนวนที่ดินที่ลดลง จะทำให้การพัฒนาโครงการต่างๆบนที่ดินลีสโฮลด์ได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้น”

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,258 วันที่ 4 - 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2560