กรมประมงแจงโต้ประมงพาณิชย์/พื้นบ้านทุกข้อกล่าวหา

02 พ.ค. 2560 | 07:15 น.
นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง  เปิดเผยว่า ปัญหาการค้ามนุษย์ในภาคประมงและปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการโดยเร่งด่วน เพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในประเด็นข่าวดังกล่าวที่ชาวประมงได้รับความเดือดร้อนจากมาตรการของภาครัฐ ทางกรมประมงขอชี้แจง ดังนี้

“เรื่องการกำหนดระยะเวลาในการทำประมง  เป็นหนึ่งในแนวทางการบริหารจัดการประมงทะเลที่ยั่งยืน ให้มีการจับสัตว์น้ำขึ้นมาใช้ในปริมาณที่เหมาะสมและสมดุลกับธรรมชาติ โดยมีการวิเคราะห์ฐานข้อมูลจำนวนเรือและเครื่องมือประมงทะเลทั้งหมดที่ทำการประมงอยู่จริง และข้อมูลสถิติปริมาณการจับสัตว์น้ำที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจจากแต่ละเครื่องมือย้อนหลังไม่น้อยกว่า 10 ปีติดต่อกันนำมาคำนวณหาความสามารถในการจับสัตว์น้ำของเครื่องมือประมงแต่ละชนิดต่อหน่วยการลงแรงประมง”

หลังจากได้การคำนวณจนออกมาเป็นผลลัพธ์ ทางคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาตินำมากำหนดปริมาณการจับสัตว์น้ำสูงสุดเพื่อใช้ในการออกใบอนุญาตให้ต่ำกว่าค่า MSY 10 % ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน แต่เนื่องจากการขออนุญาตทำการประมงในปี 2559 มีเรือที่มาขอทำการประมงมากกว่าปริมาณสูงสุดที่คณะกรรมการฯ ได้จัดสรรไว้ ดังนั้น เพื่อให้สามารถออกใบอนุญาตให้กับเรือประมงได้ทั้งหมด จึงมีการกำหนดจำนวนวันที่ให้เรือประมงที่มีประสิทธิภาพในการจับสัตว์น้ำของเครื่องมือชนิดต่าง ๆ ได้แก่  ฝั่งทะเลอ่าวไทย  เครื่องมืออวนลาก จำนวน 220 วันต่อปี อวนล้อมจับ 220 วันต่อปี และอวนล้อมจับปลากะตัก 235 วันต่อปี  ส่วนฝั่งทะเลอันดามัน เครื่องมืออวนลาก จำนวน 250 วันต่อปี อวนล้อมจับ 235 วันต่อปี และอวนล้อมจับปลากะตัก 205 วันต่อปี  ซึ่งเป็นการช่วยเหลือชาวประมงและแบ่งปันทรัพยากรประมง  ชาวประมงจึงสามารถจัดสรรเวลาในการออกเรือไปทำการประมงได้อย่างเหมาะสม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น

นายอดิศร กล่าวว่า ส่วนปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงจากการจัดทำเอกสารที่เข้มงวด กรมประมงได้มีการจัดทำหนังสือคนประจำเรือ (Seabook)  สำหรับแรงงานต่างด้าว เพื่อเป็นการคัดกรองแรงงานป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ ไม่ให้มีการใช้แรงงานเด็ก และแรงงานที่ผิดกฎหมาย พร้อมเป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพของแรงงาน ซึ่งเป็นไปตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ในการจัดระเบียบแรงงานภาคประมง โดยตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2559- 27 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา มีแรงงานเข้าจัดทำหนังสือคนประจำเรือแล้วทั้งสิ้น 46,904 ราย  สำหรับในการขึ้นทะเบียนนั้น แรงงานสามารถเลือกนายจ้างได้ตามความสมัครใจถึง 3 ราย  และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ  ส่วนนายจ้างหากประสงค์จะเปลี่ยนแรงงานบนเรือก็สามารถทำได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ในพื้นที่จังหวัดตรังมีการออกหนังสือคนประจำเรือรวมจำนวน 875 ราย  ที่ทำงานบนเรือประมงจำนวน 149 ลำ  ส่วนสาเหตุที่ทำให้เรือประมงพาณิชย์บางส่วนขาดแคลนแรงงานประมงไม่สามารถออกทำการประมงได้  เกิดจากอาชีพทำการประมงเป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำกัน ส่วนแรงงานต่างด้าวก็มีการขาดแคลนในภาคประมงสะสมอย่างต่อเนื่อง  ทั้งนี้ ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรี นายจ้างหรือผู้ประกอบการจะต้องสร้างแรงจูงใจเพื่อดึงดูดแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าจ้างหรือสวัสดิภาพ สวัสดิการต่างๆ เพราะเป็นการแข่งขันในระหว่างธุรกิจด้วยกัน

อย่างไรก็ตามการจัดระเบียบเรือประมงพื้นบ้านและพาณิชย์ : ตามพระราชกำหนดการประมง 2558 ได้กำหนดให้เรือประมงขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอสเป็นเรือประมงพื้นบ้าน และเรือประมงขนาดมากกว่า 10 ตันกรอสเป็นเรือประมงพาณิชย์ โดยเรือประมงพาณิชย์(ขนาดมากกว่า 10 ตันกรอสขึ้นไป) ทุกลำจะต้องมีใบอนุญาตทำการประมงพาณิชย์ และจะต้องทำประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง

สำหรับกรณีที่ชาวประมงในพื้นที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับความเดือดร้อนถูกจับกลางทะเล นั้น เหตุเกิดจากที่มีเรือประมงจำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นเรือประมงที่มีขนาด 16.49 ตันกรอส และ 28.3 ตันกรอส ซึ่งถูกจัดเป็นเรือประมงพาณิชย์ เข้าไปทำการประมงด้วยเครื่องมืออวนติดตาในเขตพื้นที่ 3 ไมล์ทะเล โดยอ้างมติ

จากการประชุมคณะกรรมการประมงจังหวัดสมุทรปราการครั้งที่ 1 /2559 วันที่ 7 ก.ค. 59 ณ ศาลากลาง จังหวัดสมุทรปราการว่าสามารถทำการประมงในเขตพื้นที่ดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยมติดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอแนะของผู้เข้าร่วมประชุมเท่านั้น ไม่สามารถบังคับใช้ตามกฎหมายได้