ALTเผยปีนี้เน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมให้เช่า

26 เม.ย. 2560 | 10:28 น.
ALT เปิดแผนปี 60 เน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมเพื่อให้เช่า เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ หนุนธุรกิจโตแข็งแกร่ง

นางปรีญาภรณ์ ตั้งเผ่าศักดิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) (ALT) ผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมแบบครบวงจร เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมเพื่อให้เช่า ซึ่งมีลักษณะเป็นรายได้ประจำ (Recurring Income) ซึ่งเข้ามาช่วยผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทฯ มีความมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนของรายได้และผลกำไรที่มาจาก Recurring Income ให้มีสัดส่วน 50% ของผลกำไรโดยรวมภายใน 5 ปี จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 10% ของผลกำไร

ทั้งนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการมองหาทั้งโครงการใหม่ๆ เข้ามาเสริม ปัจจุบัน บริษัทฯ มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม เพื่อให้เช่ารวม ทั้งสิ้น 4 โครงการ โดยเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกิจการร่วมค้า 2 โครงการ และเป็นโครงการที่ดำเนินการโดย ALT เอง 2 โครงการ ทั้งนี้ โครงการล่าสุด ได้แก่ โครงการโครงข่ายสายเคเบิลใยแก้วนำแสงให้เช่าบนแนวเสาโทรเลขตามทางรถไฟนั้น อยู่ในระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์และคาดว่าจะเริ่มทดสอบระบบได้ในช่วงไตรมาส 2/2560 และสามารถเริ่มรับรู้เป็นรายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3/2560 เป็นต้นไป

สำหรับผลการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2560 มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการประจำปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.314 บาท หักด้วยเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้ว เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 จำนวน 0.214 บาทต่อหุ้น คงเหลือเงินปันผลที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมให้แก่ผู้ถือหุ้นในรูปของเงินสด 0.10 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันขึ้นเครื่องหมายที่ผู้ซื้อหลักทรัพย์ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 3 พ.ค. 2560 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 8 พ.ค.2560 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลในวันที่ 25 พ.ค.2560

ขณะที่ผลประกอบการในปี 2559 บริษัทฯ และบริษัทย่อยเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 279.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.38% จากปีก่อนทีมีกำไรสุทธิ 208.02 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 1,964.67 ล้านบาท ลดลง 24.49% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,601.88 ล้านบาท แต่กำไรขั้นต้นกลับลดลงเพียง 4.02% หรือ 22.70 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงขึ้น