สินเชื่อเดือนมี.ค.ลดลง 0.04% เหตุลูกค้าธุรกิจแห่ชำระหนี้คืน

25 เม.ย. 2560 | 09:59 น.
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินสินเชื่อ/เงินฝากไตรมาส 2 ภาพฟื้นตัวไม่ชัดทรงตัว คาดรอดูปัจจัยช่วงครึ่งหลังของปี เผยสินเชื่อเดือนมี.ค.ลดลง 0.04% จากเดือนก่อนหน้า ปรับลดลงตามลูกค้าธุรกิจแห่ชำระหนี้คืน  

 

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินภาพรวมสินเชื่อเดือนมีนาคม 2560 กลับมาชะลอตัวลดลงติดลบ 0.04% เมื่อเทียบเดือนก่อนหน้า และขยายตัวติดลบ -0.18% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส แต่ขยับขึ้น จากระยะเดียวกันของปีก่อนที่ 1.75% จากการชำระคืนหนี้ของสินเชื่อภาคธุรกิจทั้งในกลุ่มลูกค้ารายใหญ่และลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนรูปแบบการระดมทุนของลูกค้ารายใหญ่ที่หันไปออกหุ้นกู้ระดมทุนด้วยตัวเอง ประกอบกับการทยอยชำระคืนหนี้หลังการเบิกใช้สินเชื่อเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีก่อน ขณะที่การอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นช้ากว่า ขณะที่สินเชื่อรายย่อยยังค่อนข้างทรงตัวเนื่องจากไม่มีแรงหนุนสำคัญที่ผลักดันการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อใหม่ให้ยืนเหนือการชำระคืนได้อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี แม้สินเชื่อสุทธิของธนาคารพาณิชย์ไทยจะจบไตรมาส 1/2560 ด้วยอัตราการเติบโตที่ 1.75% ซึ่งใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย แต่ถ้ามองมิติการเติบโตของสินเชื่อในลักษณะเดือนต่อเดือนแล้ว ยังถือว่าสินเชื่อยังปัจจัยการเติบโตที่ชัดเจนนัก ซึ่งน่าจะเป็นภาพที่คงเห็นต่อเนื่องในไตรมาส 2/2560 เช่นกัน ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การเติบโตของสินเชื่อน่าจะทยอยมีภาพที่ชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เมื่อกิจกรรมการลงทุนและเบิกจ่ายงบประมาณเดินหน้าลงสู่ท้องถิ่น และระบบเศรษฐกิจมากขึ้น   ตามลำดับ ตลอดจนอานิสงส์จากการค้าระหว่างประเทศที่ให้ภาพเชิงบวกมากขึ้น ซึ่งน่าจะหนุนความต้องการสินเชื่อจากภาคธุรกิจ ทั้งจากสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนในประเทศ Trade Finance ตลอดจนสินเชื่อเพื่อการลงทุน

ดังนั้น จากทิศทางการเติบโตของสินเชื่อในช่วงไตรมาส 2/2560 ที่คงจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดว่าแคมเปญเงินฝากพิเศษที่ออกใหม่จะยังคงมุ่งชดเชยรุ่นที่ครบกำหนดเป็นหลักควบคู่กับการสะท้อนความพยายามในการบริหารจัดการโครงสร้างต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ (ท่ามกลางข้อจำกัดในการเติบโตรายได้ สินเชื่อและค่าธรรมเนียม) ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากที่มีระยะยาวขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่า อาจมีการปรับอัตราผลตอบแทนของผลิตภัณฑ์เงินฝากขึ้นบ้างให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราผลตอบแทนของตลาดก็ตาม ด้านการออกพันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลังในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2560 นั้น อาจมีผลในการดึงเงินฝากบ้าง แต่คงไม่มากนัก เพราะมีวงเงินที่จำกัดไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท

“ดังนั้นภาพสินเชื่อและเงินฝากที่คงไม่ต่างจากไตรมาสแรกของปีมากนัก จึงทำให้สภาพคล่องในไตรมาส 2/2560 น่าจะยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาส 1/2560 โดยปัจจัยจับตาจะอยู่ที่หลายตัวแปรที่จะเข้ามากระทบต่อสภาพคล่องของระบบการเงินชัดเจนขึ้น จนอาจมีผลกระทบทางอ้อมมาสู่ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยบางส่วนได้ เช่น การระดมเงินทุนเพื่อไฟแนนซ์งบกลางปี และงบประมาณของภาครัฐ ตลอดจนการ ออกหุ้นกู้ของภาคเอกชนเพื่อชดเชยรุ่นที่ครบกำหนดซึ่งมีจำนวนค่อนข้างมากกว่าไตรมาสอื่น”