สมอ.ลุยจับเหล็กไม่ได้มาตรฐานมูลค่า 7 แสนบาท

21 เม.ย. 2560 | 08:41 น.
สมอ.ลุยตรวจสินค้าในเขตพื้นที่ภาคเหนือ พบการจำหน่ายเหล็กก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานกว่า 5,000 เส้น มูลค่ากว่า 7 แสนบาท แนะผู้บริโภคให้ซื้อเหล็กก่อสร้างที่แสดงเครื่องหมาย มอก.บังคับ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่าสมอ. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบสถานที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กในเขตพื้นที่ภาคเหนือได้แก่ น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ และได้ร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดเข้าตรวจสอบร้านจำหน่ายรวม 15 ราย พบร้านจำหน่ายเหล็กก่อสร้างจำหน่ายเหล็กที่ไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. จำนวน 4 ราย มูลค่ารวมกว่า 7 แสนบาท จึงได้ยึดอายัดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบต่อไป

สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กที่ สมอ.ตรวจพบประกอบด้วยเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กเส้นกลม ไม่เป็น ไปตามมาตรฐาน มอก. 20-2543 จำนวน 3,774 เส้น เหล็กเส้นเสริมคอนกรีต : เหล็กข้ออ้อย ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 24-2548 จำนวน 400 เส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 1227-2558 จำนวน 274 เส้น และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 1228-2559 จำนวน 730 เส้น

ทั้งนี้ เหล็กเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ 104 รายการที่กฎหมายกำหนดให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน (มาตรฐานบังคับ) ซึ่งผู้ทำและผู้นำเข้าต้องได้รับอนุญาตจาก สมอ. ก่อนทำและนำเข้า ขณะเดียวกันผู้จำหน่ายก็ต้องจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมาย มอก. เท่านั้น หากพบว่ามีการกระทำผิดจะถูกดำเนินคดีทางกฎหมายทันที
โดยมีบทลงโทษในกรณีทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 1,000-50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแสดงเครื่องหมาย มอก. โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ เพื่อปกป้องคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีคุณภาพ

“การจำหน่ายเหล็กก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมาก และส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เพราะหากนำเหล็กไม่ได้มาตรฐานมาใช้ในโครงสร้างของบ้าน ตึก อาคาร จะทำให้สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นไม่แข็งแรง และเกิดการพังถล่ม เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน”นายพิสิฐ กล่าว