ทรัมป์จับมือจีนแก้ปัญหาโสมแดง

19 เม.ย. 2560 | 10:00 น.
ขณะที่ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีทำให้บรรยากาศการเมืองระหว่างประเทศของหลายชาติที่เกี่ยวเนื่องร้อนระอุ ช่วงขณะเดียวกัน บรรยากาศการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ถูกโหมกระพือมาตลอดโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งจนกระทั่งได้รับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี กลับคลี่คลายลงอย่างแทบจะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ จากคู่ค้าที่ถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีต้องถูกจับตาหลายข้อกล่าวหาไม่ว่าจะเป็นสถานะนักปั่นค่าเงินเพื่อเอาเปรียบทางการค้า จนถึงการเป็นประเทศที่ทำให้อุตสาหกรรมในประเทศสหรัฐฯต้องล่มสลาย ทำให้คนอเมริกันตกงาน แต่ขณะนี้จีนได้กลับกลายพลิกบทบาทมาเป็นพันธมิตรที่สหรัฐฯต้องขอความร่วมมือในการจัดการปัญหาเกาหลีเหนือ

ท่าทีในเชิงบวกของสหรัฐฯที่มีต่อจีนในเวลานี้ สะท้อนชัดจากข้อความที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ไว้บนทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ใจความว่า “จะให้เรียกจีนว่าเป็นนักปั่นอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินได้อย่างไรเมื่อจีนกำลังร่วมมือกับสหรัฐฯในปัญหาเกาหลีเหนือ” ข้อความดังกล่าวตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทรัมป์เคยให้สัญญาไว้กับประชาชนที่เลือกเขาขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั่นคือการประนามจีนว่าเป็นนักปั่นค่าเงิน ทำให้สหรัฐฯต้องเสียดุลการค้าให้กับจีนเป็นมูลค่ามหาศาลตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ เป็นที่คาดหมายอย่างมากว่า ในรายงานประจำปีว่าด้วยเรื่องสกุลเงินตราต่างประเทศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯที่เปิดเผยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะระบุว่า จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่มีพฤติกรรม “ปั่นค่าเงิน” เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า แต่สุดท้าย รายงานดังกล่าวก็ไม่ได้มีการระบุว่าจีนเป็นผู้ปั่นค่าเงิน เพียงแต่ระบุว่า จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ ควรจะทำให้เงินหยวนขยับค่าสูงขึ้นตามกลไกตลาดและจีนควรจะเปิดตลาดให้มีเสรีทางการค้ามากขึ้น

นายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกจากรัฐแอริโซนาสังกัดพรรครีพับลิกัน ให้ความเห็นว่า ท่าทีที่ผ่อนคลายลงของสหรัฐฯที่มีต่อจีน อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์โดยภาพรวม และที่สำคัญคือ “จีนเป็นกุญแจนำไปสู่ความมีเสถียรภาพในเกาหลีเหนือ” นายแมคเคนยังระบุด้วยว่า ไม่ว่าจีนจะเป็นนักปั่นค่าเงินหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ควรจะคาดหวังจากจีนคือ การที่จีนช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่หายนะ

ความคิดเห็นของวุฒิสมาชิกแมคเคน สอดคล้องกับความเห็นของวุฒิสมาชิกของพรรคฝ่ายค้านอย่างนายแจ๊ค รีด จากโร้ดไอส์แลนด์ สังกัดพรรคเดโมแครต ที่มองว่า ทรัมป์อาจจะถูกคำพูดของตัวเองค้ำคอที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนช่วงหาเสียงว่าจะไล่บี้จีนทั้งในเรื่องการค้าและการปั่นค่าเงิน แต่ในความเป็นจริงต้องยอมรับว่า สหรัฐฯจำเป็นต้องให้จีนช่วยเพื่อแก้ปัญหาความมั่นคงในภูมิภาค

ท่าทีของสหรัฐฯนั้นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์ต้องการความร่วมมือจากจีนในการรับมือกับเกาหลีเหนือ สื่อต่างประเทศระบุว่า นับตั้งแต่ที่ผู้นำทั้ง 2 พบปะหารือกัน หลังจากนั้นจีนก็ลดการส่งออกถ่านหินไปยังเกาหลีเหนือและยังส่งสัญญาณเตือนไปยังเกาหลีเหนือที่ขู่ว่าสามารถคุกคามสหรัฐฯได้ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ว่าจีนอาจลดการขายน้ำมันให้เกาหลีเหนือด้วย อย่างไรก็ตาม จีนเองได้ออกมาระบุชัดเจนว่าสหรัฐฯควรจะต้องลดการยั่วยุหรือคุกคามเกาหลีเหนือด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมซ้อมรบกับเกาหลีใต้ซึ่งเกาหลีเหนือมองว่าเป็นการข่มขู่คุกคาม หรือการส่งกองเรือรบเข้าใกล้เขตน่านน้ำของเกาหลีเหนือ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,254 วันที่ 20 - 22 เมษายน พ.ศ. 2560