หุ้นเทสลาขึ้นที่ 1 รถมะกัน นักลงทุนเชื่อศักยภาพหนุนมูลค่าแซงหน้าคู่แข่ง

17 เม.ย. 2560 | 14:00 น.
มูลค่าหุ้นของบริษัท เทสลาอิงค์ฯ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรูสัญชาติอเมริกัน ปรับตัวขึ้นมาในสัปดาห์นี้จนทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่5.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แซงหน้าเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 5.02 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นบริษัทรถยนต์มูลค่าสูงสุดในสหรัฐฯ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ก่อนหน้านี้ไม่นาน มูลค่าของเทสลาเพิ่งแซงหน้าฟอร์ด มอเตอร์ ขึ้นมาและในขณะนี้เทสล่ากำลังไล่เบียดฮอนด้ามอเตอร์ ในแง่ของมูลค่า และกำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่มีอันดับสูงสุด 1 ใน 5 ของโลก

มูลค่าที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเทสล่าแสดงให้เห็นว่า นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าวิสัยทัศน์เรื่องรถยนต์ไฟฟ้าของนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเทสลา จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในตลาดรถยนต์ในอนาคตแม้ว่าบริษัทรถยนต์เก่าแก่อย่างจีเอ็มจะส่งรถยนต์ไฟฟ้า เชฟโรเลต โบลต์ออกมาวางตลาดก่อนเทสลา แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสความสนใจได้เหมือนกับที่เทสลา ซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่และแทบจะยังไม่มีกำไรทำได้

“เราอยู่ในยุคใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์” นายอีแฟรม เลวี นักวิเคราะห์จากเอสแอนด์พี โกลบอล มาร์เก็ตอินเทลลิเจนซ์ กล่าวพร้อมกับเสริมว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่เพียงเป็นการเปลี่ยนสู่รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แต่ยังรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ใช้นํ้ามัน

เทสลารายงานผลประกอบการไตรมาสแรกเมื่อช่วงต้นเดือนเมษายนด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ฟอร์ดและจีเอ็มต่างรายงานยอดขายในไตรมาสที่ผ่านมาอย่างน่าผิดหวัง

นักวิเคราะห์กล่าวว่า เหตุผลที่มูลค่าของเทสล่าเพิ่มขึ้นแซงหน้าจีเอ็มและฟอร์ดได้สำเร็จ แม้ว่ายอดขายและผลประกอบการยังแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้ง 2 รายอยู่มากนั้นเนื่องจากนักลงทุนมองหุ้นของเทสลาเหมือนกับหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีซึ่งนักลงทุนเล็งเห็นศักยภาพที่รถยนต์ของเทสลาจะเข้ามาครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ขณะเดียวกันในสายตาของนักลงทุน จีเอ็มและฟอร์ดกำลังเผชิญกับยอดขายที่ลดลงจนส่งผลกระทบต่อผลกำไร

เทสลาจำหน่ายรถยนต์ได้ 76,230 คันเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยรายได้ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยขาดทุน 773 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่จีเอ็มรายงานกำไรสุทธิในปี 2559 ลดลง 3%เหลือ 9.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯด้วยยอดขายที่คาดว่าจะเกินกว่า 10ล้านคัน ด้านฟอร์ดรายงานกำไรสุทธิเมื่อปีก่อน 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯลดลง 38% จากปี 2558

tp15-3253-c รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของเทสลาชื่อรุ่นโรดสเตอร์ (Roadster) ออกวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกในปี 2551 ปัจจุบันเทสลาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า 2 รุ่น คือโมเดล เอส (Model S) รถยนต์ซีดานหรู ด้วยราคาเริ่มต้น 68,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 2.4 ล้านบาท) และรถยนต์อเนกประสงค์ โมเดล เอ็กซ์ (ModelX) ราคาเริ่มต้น 85,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3 ล้านบาท) ขณะที่ในปีนี้เทสลาเตรียมนำรถยนต์ซีดานขนาดเล็ก โมเดล 3 (Model 3) ออกวางตลาดด้วยราคาขายที่ตั้งไว้ประมาณ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ1.2 ล้านบาท) ซึ่งโมเดล 3 จะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนเทสลาจากการเป็นผู้ผลิตรถยนต์สำหรับตลาดเฉพาะไปสู่การเป็นผู้ผลิตในระดับตลาดมวลชน

เทสลากล่าวว่า มีลูกค้าวางเงินมัดจำเพื่อจองรถยนต์รุ่นโมเดล 3 แล้วอย่างน้อย 375,000 คน และในวันที่เปิดจองล่วงหน้า มีลูกค้ามาต่อคิวเพื่อจองรถยนต์รุ่นดังกล่าวอยู่ที่หน้าโชว์รูมของเทสลาทั่วโลก อย่างไรก็ดี เทสล่าจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสามารถผลิตรถยนต์ได้ทันตามความต้องการ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายจะผลิตรถยนต์ให้ได้ 5 แสนคันต่อปี ภายในปี 2561 แต่ที่ผ่านมายังประสบปัญหาในการผลิตและจัดส่งที่ล่าช้า

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,253 วันที่ 16 - 19 เมษายน พ.ศ. 2560