เฮทั้งประเทศ! "ผบ.ตร." ปลดล็อค! "นั่งแคป" ไม่ต้องคาดเข็มขัด

14 เม.ย. 2560 | 09:09 น.
ผบ.ตร. ออกข้อกำหนดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปลดล็อคให้คนนั่งในแคปรถกระบะไม่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย

รายงานข่าวเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2560 ทีผ่านมา พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ลงนามข้อกำหนดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของรถยนต์ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัย โดยมีประเด็นสำคัญคือการกำหนดให้คนขับและคนโดยสารที่นั่งตอนหน้า รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล หรือรถกระบะ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งเรื่องนี้กำหนดไว้ในข้อ 4(3) ของข้อกำหนดฉบับดังกล่าว ที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา

นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน(ศวปถ.) บอกกับสปริงนิวส์ว่า ข้อกำหนดที่ออกมากำหนดให้คนขับและคนนั่งหน้ารถกระบะเท่านั้นที่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่รวมถึงคนนั่งแค็บและคนนั่งเบาะหลังรถกระบะ แต่ระยะยาวต้องศึกษาว่าจะติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถกระบะอย่างไร เมื่อติดแล้วจะมีความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารได้จริงหรือไม่

นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดี ฝ่ายวิชาการกรมการขนส่งทางบกกล่าวว่า เรื่องนี้หากเป็นผู้ขับรถกระบะและผู้ที่นั่งอยู่ข้างคนขับจะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตามกฎหมายไม่เช่นนั้นจะถูกปรับตามข้อกฎหมาย ส่วนผู้ที่นั่งบริเวณแคปรถกระบะ ยังต้องมีการหารือกับกรมการขนส่งทางบกในช่วงหลังเทศกาลสงกรานต์ ว่าจะออกกฎข้อบังคับเรื่องการคาดเข็มขัดนิรภัยในส่วนของแคปรถกระบะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด เพราะรถกระบะบางคันก็ยังไม่มีสายรัดเข็มขัดนิรภัยบริเวณแคป และขั้นตอนการจดทะเบียนและเสียภาษีก็จะต้องเปลี่ยนไปหากนับพื้นที่แคปรถกระบะที่นั่ง อีกทั้งต้องหารือกับผู้ผลิตรถกระบะด้วยว่าหากมีการออกกฎบังคับจริงรถที่ผลิตออกมาใหม่จะต้องมีการมาตรฐานในการติดตั้งสายรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างไร และรถเก่าที่ได้จดทะเบียนไปก่อนหน้านี้แต่ไม่มีสายรัดเข็มขัดนิรภัยจะทำอย่างไร

รายงานข่าวเปิดเผยว่า พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ยังได้ออกข้อกําหนดสํานักงานตํารวจแห่งชาติอีกฉบับ เรื่อง "การชําระค่าปรับ การชําระค่าปรับทางไปรษณีย์ และวิธีการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ บัตรเครดิตหรือวิธีการอื่น โดยผ่านธนาคารหรือหน่วยบริการรับชําระเงิน และกําหนดจํานวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสําหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522(ฉบับที่ 2) เพื่อกำหนดค่าปรับคนที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย 2 กรณี คือ 1.ขับขี่รถยนต์โดยไม่จัดให้คนโดยสารรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย ค่าปรับ 400 บาท และ 2. คนโดยสารไม่รัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยปรับ 400 บาท+

สำหรับข้อกำหนดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของรถยนต์ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัย ที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา มีรายละเอียด ดังนี้

ตามที่กรมตำรวจได้ออกข้อกำหนด เรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของรถยนตร์ ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัย ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ไว้แล้ว นั้น โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขปรับปรุงการกำหนดประเภทและชนิดของรถยนต์ที่จะบังคับให้มีการใช้เข็มขัดนิรภัยเสียใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยคำ สั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2560 เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ลงวันที่ 21 มีนาคม 2560 ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจึงออกข้อกำหนดไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้ยกเลิกข้อกำหนดกรมตำรวจ เรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของรถยนต์ลักษณะและวิธีการใช้เข็มขัดนิรภัย ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2540

ข้อ 2 ให้ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารรถยนต์รัดร่างกายไว้กับที่นั่งซึ่งติดตั้งเข็มขัดนิรภัยตามประกาศกรมการขนส่งทางบก เรื่อง หลักเกณฑ์การติดตั้งและคุณสมบัติของเข็มขัดนิรภัยสำหรับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 และประกาศกรมการขนส่งางบก เรื่อง กำหนดแบบเข็มขัดนิรภัยและประเภทของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกที่ต้องจัดให้มีเข็มขัดนิรภัย พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2555

ข้อ 3 ประเภทและชนิดของรถยนต์ที่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัยตามข้อ 2 ได้แก่

(1) ประเภทและชนิดของรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ได้แก่
(ก) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน
(ข) รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด
(ค) รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ง) รถยนต์บริการ
(จ) รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกินเจ็ดคนแต่ไม่เกินสิบสองคน
(ฉ) รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล
(ช) รถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้าง

(2) ประเภทและชนิดของรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก
(ก) รถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารที่มีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 20 ที่นั่ง (เฉพาะรถตู้โดยสาร) ในประเภทการขนส่งประจำทาง การขนส่งไม่ประจำทาง และการขนส่งส่วนบุคคล

(ข) รถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารที่มีจำนวนที่นั่งไม่เกิน 20 ที่นั่ง (ลักษณะอื่นที่มิใช่ รถตู้โดยสาร) และรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารที่มีจำนวนที่นั่งเกินกว่า 20 ที่นั่ง ในประเภทการขนส่งประจำทาง หมวด 2 และหมวด 3 การขนส่งไม่ประจำทาง และการขนส่งส่วนบุคคล

(ค) รถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ทุกประเภทการขนส่ง
(ง) รถที่ใช้ในการขนส่ง ในประเภทการขนส่งโดยรถขนาดเล็ก

ข้อ 4 การใช้เข็มขัดนิรภัยตามข้อ 3 ให้เป็นไปตามเงื่อนไขและวิธีการ ดังต่อไปนี้

(1) รถตามข้อ 3(1) (ก) (ข) (ค) และ (ง) ที่จดทะเบียนไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2531 เป็นต้นไป รถตามข้อ 3(1) (ช) และรถยนต์ส่วนบุคคลที่เปลี่ยนประเภทมาจากรถยนต์สี่ล้อเล็กรับจ้างที่จดทะเบียนไว้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารที่นั่งตอนหน้าต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย

(2) รถตามข้อ3(๑) (ก) (ข) (ค) และ (ง) ที่จดทะเบียนไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารทุกที่นั่ง ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย

(3) รถตามข้อ 3(1) (จ) และ (ฉ) ที่จดทะเบียนไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 เป็นต้นไป ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารที่นั่งตอนหน้า ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย

(4) รถตามข้อ 3 (1) (จ) ที่ผลิตหรือนำเข้าตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารทุกที่นั่ง ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย เว้นแต่เป็นรถยนต์ลักษณะนั่งสองแถว ให้ผู้ขับขี่และคนโดยสารที่นั่งตอนหน้า ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย

(5) รถตามข้อ 3(2) (ก) และ (ข) ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารทุกที่นั่ง ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย

(6) รถตามข้อ 3(2) (ค) ที่ผลิต ประกอบ นำ เข้า หรือจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารทุกที่นั่ง ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย

(7) รถตามข้อ 3(2) (ง) ที่จดทะเบียนไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารที่นั่งตอนหน้า ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย
ความในวรรคหนึ่ง (5) (6) และ (7) ไม่ให้ใช้บังคับกับที่นั่งตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่ที่นั่งผู้ขับรถและที่นั่งผู้โดยสารตอนหน้าที่มีการจัดวางที่นั่งตามความยาวของรถซึ่งไม่มีการติดตั้งเข็มขัดนิรภัย

เมื่อผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารตามวรรคหนึ่งขึ้นนั่งประจำที่นั่งของตนแล้ว ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัย โดยใช้สายรัดร่างกายยึดเข้ากับที่นั่งของตนและต้องไม่ให้สายรัดหลุดออกได้การปลดเข็มขัดนิรภัยต้องกระทำได้โดยง่าย ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560
พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา
ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ