รวบแล้ว! “โชกุน”

12 เม.ย. 2560 | 07:21 น.
วันที่ 12 เม.ย.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงบ่ายวันนี้ ตำรวจท่องเที่ยวประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ควบคุมตัวหัวหน้ากลุ่มแชร์ลูกโซ่บริษัท (Wealth Ever) 2 คน มาสอบปากคำที่กองปราบปราม หลังขายทัวร์ท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในราคาถูก ก่อนลอยแพลูกทัวร์กว่า 2,000 คน ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อคืนวันที่11เม.ย.ที่ผ่านมา   ซึ่งบริษัทนี้ น.ส.พิสิษฐ์ อริญชญ์ลาภิศ หรือ ซินแสโชกุนกรรมการบริหารบริษัทดังกล่าวเป็นเเกนนำการหลอกลวงครั้งนี้

ซึ่งจากการสอบปากคำเบื้องต้น ทั้ง 2 คนให้การว่าเป็นสมาชิกของบริษัทดังกล่าวจริง ซึ่งในระหว่างที่เป็นสมาชิกไม่เคยเกิดปัญหาในลักษณะดังกล่าว ซึ่งทั้ง2คนทำหน้าที่ขายทัวร์ โดยก่อนที่จะมาขายทัวร์นั้นได้ซื้อสินค้าและได้รับรางวัลเป็นเเพคเกตในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่น ก่อนที่ตนจะกลับมารับกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมดเพื่อเดินทางกลับไปท่องเที่ยวในญี่ปุ่น แต่เมื่อมาถึงวันเดินทางกลับพบปัญหาดังกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.ประเสริฐ เงินยวง ผบก.ตำรวจท่องเที่ยว เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม เพื่อร่วมวางกรอบและแนวทางในการทำงานเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง ก่อนที่จะเข้าไปในห้องพนักงานสอบสวนเพื่อรวมสอบปากคำผู้เสียหาย

น.ส.ผ่องนภา ฐิติวัชระ ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เพื่อนของตนเป็นคนชักชวนให้ตนไปเที่ยวญี่ปุ่นเพราะมีโปรโมชั่นตั๋วการเดินทางที่ราคาถูกจากบริษัท เวลล์เอเวอร์ ซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางครั้งนี้ ประมาณ 10,000-20,000 บาท ตนจึงสนใจและโอนเงินจำนวน 10,000  และมาตามเวลานัดหมาย แต่ก็ไม่พบ ตัวแทน  และไม่มีเอกสารใดๆ มีเพียงสลิปเงินที่ตนโอนเพียงเท่านั้น   ซึ่งหลังจากเกิดเหตุ ตนก็ไม่สามารถที่จะติดต่อตัวแทนหัวหน้าทีม ได้อีกเลย จึงเดินทางมาแจ้งความที่กองปราบ ส่วนเพื่อนคนที่จะร่วมเดินทางที่เจอที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็บอกว่ายังเชื่อมั่นว่าจะได้เงินคืนจากหัวหน้าทีม จึงไม่ดำเนินการแจ้งความ

 

ขณะที่พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาได้เรียกสอบผู้เสียหายไปแล้วจำนวนกว่า 40 ปาก ส่วนผู้เสียหายรายอื่นๆ ตำรวจได้มีการแนะนำให้แจ้งความร้องทุกข์ตามภูมิลำเนาที่เกิดเหตุของตนเอง หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจะนำสำนวนการสอบสวนส่งให้กองบังคับการปราบปรามเพื่อจะได้รวมกับสำนวนของผู้เสียหายรายอื่นต่อไป ทั้งนี้ยังมีการควบคุมตัวคนที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับการหลอกผู้เสียหายจำนวนหนึ่งไว้ด้วย โดยควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจภูธรสุวรรณภูมิ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บ่ายวันนี้ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผบช.ก.เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม พร้อมเปิดเผยว่า วันนี้ตนได้เดินทางมาร่วมสอบปากคำผู้เสียหายและสอบปากคำผู้ต้องสงสัย 2 ราย ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มบริษัทแชร์ลูกโซ่ดังกล่าว พร้อมทั้งวางแผนแนวทางการทำงานเพื่อติดตามจับกุมหัวหน้าขบวนการเจ้าของบริษัทดังกล่าว ซึ่งมีพฤติกรรมชัดเจนที่เคยมีประวัติการก่อคดีในลักษณะนี้และจากการตรวจสอบพบว่ามีหมายจับติดตัว 3-4 หมาย ซึ่งทั้งหมดเป็นคดีลักษณะเดียวกัน โดยมีการเปลี่ยนชื่อสกุลมาแล้วกว่า 10 ครั้งเพื่อเปิดเเละจดทะเบียนบริษัท อย่างไรก็ตามขณะนี้มีผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดีต่อโดยมี3 หน่วยงานหลักรับเรื่องคือ ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับผู้บริโภค ตำรวจประจำสถานีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเมื่อช่วงค่ำวันที่11เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งหมด 470 คน
ผบช.ก.ยังระบุอีกว่า สำหรับคดีนี้ผู้เสียหายที่อยู่ในพื้นต่างจังหวัด ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม โดยสามารถไปแจ้งความร้องทุกข์ใด้ในพื่นที่สถานีตำรวจในภูมิลำเนาของตน หลังจากตนจะเสนอไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการรวบรวมสำนวนมาไว้ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเพื่อศูนย์กลางในการทำงานเนื่องคดีนี้เข้าข่ายความผิดฉ้อโกงประชาชนที่มีผู้เสียหายมากกว่า 10 คน

ผบช.ก.กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการหลังจากนี้จะเร่งติดตามยึดทรัพย์เพื่อนำเงินทั้งหมดมาชดใช้ค่าเสียให้กับผู้เสียหายทั้ง ซึ่งที่ผ่านคดีในลักษณะนี้จะมีการยอมความกันได้แต่สำหรับคดีนี้จากการสอบปากคำผู้เสียหาย และพยานหลักฐานพบว่า ไม่สามารถยอมความได้

"ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวซินแสโชกุน กรรมการบริหารบริษัทเวลล์ เอฟเวอร์ มาที่กองบังคับการปราบปรามภายในวันนี้ เวลา 18.00 น. โดยมีรายงานว่าทหารสามารถควบคุมตัวซินแสโชกุนได้แล้วที่ด้านตรวจคนเข้าเมืองจ.ระนอง เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหา ฉ้อโกงประชาชน เพื่อดำเนินการยึดทรัพย์สินของ ซินแสโชกุน มาเฉลี่ยคืนผู้เสียหายทุกคนให้ได้ เบื้องต้นประเมินความเสียหายไว้ที่ประมาณ 20 ล้านบาท ส่วนแม่ข่ายจะไม่ถูกดำเนินคดี เพราะเชื่อว่าถูกหลอกและเป็นผู้เสียหายเช่นกัน"
พล.ต.ท.ฐิติราช ระบุว่า ขณะนี้ตำรวจได้ประสานสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ( ปปง.) ให้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน และขยายผลว่ามีผู้ร่วมขบวนการหรือมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ขณะนี้ผู้ที่กระทำความผิด และถูกดำเนินคดีขณะนี้ยังมีเพียง 1 คน ส่วนจะมีผู้ร่วมขบวนการหรือไม่นั้นยังไม่มีการยืนยัน เนื่องจากผู้เสียหายไม่เคยพบ ซินแสโชกุนมีเพียงการติดต่อทางไลน์และแม่ข่ายเท่านั้น

ส่วนภายหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืนนี้ซินแสโชกุลได้ส่งคลิปเสียงผ่านไลน์กลุ่ม โดยไม่ให้ผู้เสียหายแจ้งความกับตำรวจ และอ้างว่าเหตุที่ต้องยกเลิกเที่ยวบิน เกิดจากผู้เสียหาย รวมตัวแจ้งความกับตำรวจ จึงส่งผลกระทบต่อสายการบิน ทำให้สายการยินไม่สามารถส่งเครื่องบินมารับผู้โดยสารได้ โดยพล.ต.ท.ฐิติราช ระบุว่า ขณะนี้ได้คลิปเสียงนี้แล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะแจ้งข้อหาอื่นกับซินแสโชกุนได้อีกหรือไม่  ด้านตัวแทนผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในวันนี้ ขอให้ตำรวจดำเนินคดีกับซินแสโชกุนอย่างเด็ดขาด เนื่องจากไม่ต้องการให้ไปหลอกลวงประชาชนคนอื่นอีก
ส่วนประวัติของ'ซินแสโชกุน'นั้นถูกแจ้งความคดีเกี่ยวกับทรัพย์รวม 6 คดี หมายจับรวม 3 หมาย และเปลี่ยนชื่อนามสกุลอีก 10 ครั้ง

น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือศรัณย์พัชร์ กิติขจรพัชร์ หรือซินแสโชกุน เคยถูกแจ้งความดำเนินคดีตั้งแต่ปี 2555-2559 รวม 6 คดี เป็นคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์ทั้งหมด ประกอบด้วย

- วันที่ 20 มิถุนายน 2555 คดีฉ้อโกงทรัพย์ พื่นที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

- วันที่ 25 มกราคม 2557 คดีความผิดเกี่ยวกับเช็ค พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี

- วันที่ 21 มิถุนายน 2557 คดีฉ้อโกงทรัพย์ พื้นที่ สน.ปทุมวัน

- วันที่ 29 ตุลาคม 2557 คดียักยอกทรัพย์ พื้นที่ สภ.เมืองนนทบุรี

- วันที่ 3 มิถุนายน 2558 คดีฉ้อโกงประชาชน ที่กองบังคับการปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ ปคบ.

- วันที่ 3 กันยายน 2559 คดีฉ้อโกงทรัพย์ พื้นที่ สภ.เมืองนครราชสีมา
โดยถูกศาลอนุมัติหมายจับกุมรวม 3 ครั้ง คือ

- ศาลแขวงสมุทรปราการ คดีฉ้อโกงทรัพย์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2555

-ศาลจังหวัดนนทบุรี คดีฉ้อโกงประชาชน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558

-ศาลแขวงนครราชสีมา คดีฉ้อโกงทรัพย์ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2559

(โดยทุกคดีมีการถอนหมายจับหมดแล้ว เนื่องจากมีการจับกุม หรือดำเนินคดีแล้วทั้งหมด)
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนชื่อและนามสกุล  ณ ที่ว่าการอ.เมือง และอ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี รวม 10 ครั้งอีกด้วย โดยมีชื่อเดิมว่า "น.ส.สหชม นาคฤทธิ์"
- 29 กันยายน 2543 เปลี่ยนชื่อ สหชม เป็น ทฤษนันท์

- 15 กันยายน 2549 เปลี่ยนชื่อ ทฤษนันท์ เป็น ณวัชกรณ์

- 1 เมษายน 2551 เปลี่ยนชื่อ ณวัชกรณ์ เป็น ศรัณย์พัชร์

- 1 เมษายน 2551 เปลี่ยนนามสกุล นาคฤทธิ์ เป็น กิติขจรพัชร์

- 16 พฤษภาคม 2557 เปลี่ยนชื่อ ศรัณย์พัชร์ เป็น ภวิศ

- 26 กันยายน 2557 เปลี่ยนนามสกุล กิติขจรพัชร์ เป็น นาคฤทธิ์

- 29 กันยายน 2557 เปลี่ยนนามสกุล นาคฤทธิ์ เป็น ภูริภัทร์เมฆินทร์

- 7 กันยายน 2559 เปลี่ยนนามสกุล ภูริภัทร์เมฆินทร์ เป็น นาคฤทธิ์

- 8 กันยายน 2559 เปลี่ยนชื่อ ภวิศ เป็น พสิษฐ์

- 8 กันยายน 2559 เปลี่ยนนามสกุล นาคฤทธิ์ เป็น อริญชย์ลาภิศ