Startup กับการสร้างรายได้แบบเนียนๆ
“เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย ฉันคงไม่มีสิทธิ์ จะคิดอะไรไปมากกว่านี้ ได้อยู่ตรงนี้ก็ดีแค่ไหน” เช็คความวัยรุ่น #ตะมุตะมิ ของท่านด้วยเพลงนี้ครับ กำลังดังเปรี้ยงปร้างในสยามประเทศขณะนี้ ผลงานของ Room39 ที่มีน้องทอมหรือหน้ากากทุเรียนร้องด้วย ลองไปหาฟังใน Joox คลังเพลงอันดับหนึ่งของประเทศไทยตอนนี้
ช่วงนี้ Joox มาแรงจริงๆ แต่ฟังเฉยๆ ก็จะดูธรรมดาไป ต้อง VIP ถึงจะเจ๋งครับ วิธีง่ายสุดคือ แชร์เพลงประจำวันไปยัง Facebook หรือ We Chat ก็จะได้ VIP 1 วัน ฟรี แต่ถ้าชวนเพื่อนมาลงทะเบียนอันนี้ได้ VIP 30 วันเลย เป็นกลยุทธ์ Member get Member (MGM) แต่ลูกค้าหลายคนก็ยอมเสียเงินเพื่อเป็น VIP เพราะจะได้ฟังเพลงมากขึ้น (บางเพลงลูกค้าทั่วไปฟังไม่ได้) ฟังเพลงที่มีคุณภาพเสียงละเอียดมากขึ้น (หูเทพอย่างเราฟังเพลงบีบอัดมากๆ มันระคายหู) ฟังเพลงแบบไม่มีโฆษณาคั่น และที่สำคัญดาวน์โหลดมาฟังแบบออฟไลน์ได้ด้วย โมเดลนี้น่าสนใจนะครับ เค้าเรียกว่า “Freemium” มาจากคำว่า Free + Premium คือให้บริการลูกค้าโดยทั่วไปฟรี แต่ถ้าต้องการบริการพิเศษก็ต้องจ่ายเพิ่ม Application ทั้งหลายใช้แบบนี้กันเยอะมาก Startup ทั้งหลายนำไปปรับใช้ดูก็ได้นะครับ จริงๆ แล้วก็คล้ายกับกลยุทธ์ราคาแบบ “Captive Product Pricing”
กลยุทธ์นี้มีการใช้กันมานานมาก คนไทยคุ้นเคยกันดี (โดนกันมาทุกคนนั่นแหละ) เพียงแต่อาจจำชื่อกลยุทธ์กันไม่ค่อยได้ ความหมายก็คือ การตั้งราคาให้สินค้าหลักมีราคาต่ำมากๆ หรืออาจจะให้ฟรีด้วยซ้ำ แล้วค่อยไปคิดเงินเพิ่มจากสินค้าที่ต้องซื้อมาใช้ประกอบกัน แน่นอนทำกำไรจากสินค้าซื้อประกอบนี่แหละ ตัวอย่างคลาสสิคที่สุดคือ มีดโกนหนวด ที่ราคาด้ามมีดราคาไม่แพง แต่เวลาเปลี่ยนใบมีดแต่ละครั้งนี่หน้ามืดเลย เดี๋ยวนี้มีแบบ 2,3,4 ใบมีดเสียด้วย แปรงสีฟันไฟฟ้าก็เช่นกัน เดี๋ยวนี้ตัวแปรงราคาถูกลงมาก แถมหัวแปรงอีก 1 อัน แต่แปรงแบบนี้ยิ่งแปรงก็ยิ่งมัน หัวแปรงก็เลยบานเร็ว พอไปซื้อหัวแปรงเปลี่ยนก็หน้ามืดอีกเช่นกัน ลองคิดถึงสินค้าที่ใช้กลยุทธ์ราคาเหล่านี้สิครับ Printerกับหมึก, Game Consoleกับตลับ, Cloud Serviceกับพื้นที่ความจุ หรือแม้แต่บัตรเข้าชมสวนสนุกก็ตาม เวลาไปสวนสนุกที่ต่างประเทศ จ่ายเงินเพิ่มอีกมาก ไหนจะ Speed Pass เพราะขี้เกียจรอคิว ไหนจะค่าอาหารที่แพงติดระดับโลก (และไม่ค่อยอร่อยด้วย) รวมไปถึงจ่ายค่าถ่ายรูปกับคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนทั้งหลาย ก็มันน่ารักนี่นา ใครจะอดใจไหว เรียกว่าบางทีค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพิ่มมากกว่าค่าบัตรผ่านประตูเสียอีก
[caption id="attachment_140556" align="aligncenter" width="503"]
Startup กับการสร้างรายได้แบบเนียนๆ[/caption]
Startup นำกลยุทธ์แบบนี้ไปใช้ได้นะครับ เพราะการให้ Free Trial ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือโหลด App ของเราได้ง่าย จะให้ฟรีกี่สัปดาห์ กี่เดือน หรือกี่ปีก็ตามสะดวก แต่ต้องไม่ลืมว่าการสร้างรายได้ของเราหรือ Revenue Model ของเรามาจากไหน และมาจากกี่ทาง บางครั้งอาจจะมาจาก Subscription หรือการสมัครของลูกค้า บางครั้งอาจจะมาจาก Sponsor หรือการขายโฆษณา บางครั้งอาจจะมาจากการ Upgrade เป็นVIP ก็ได้
กลยุทธ์ราคามีหลายแบบครับ และนับวันจะยิ่งมีเงื่อนไขต่างๆ มากขึ้น นักการตลาดที่ดีก็จะรู้จักใช้วิธีการต่างๆ ในการตั้งราคา กลยุทธ์ราคาอาจใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อให้เห็นผลมากขึ้น เช่นการออกสินค้าแบบ Limited Edition แล้วตั้งราคาแบบ Premium Price ก็ดึงดูดลูกค้าบางกลุ่มได้ไม่ยาก สำหรับผู้บริโภคเองก็ต้องศึกษาเพื่อที่จะรู้เท่าทัน จะได้บริโภคได้อย่างฉลาด แต่หลายครั้งที่เราคิดละเอียดดีแล้ว แต่ก็ยังซื้อสินค้านั้นกลับมาบ้านเฉยเลย ก็เดี๋ยวนี้การตั้งราคามันเนียนขึ้นจริงๆ นี่นา #งงเด้งงเด้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,252 วันที่ 13 - 15 เมษายน พ.ศ. 2560
ช่วงนี้ Joox มาแรงจริงๆ แต่ฟังเฉยๆ ก็จะดูธรรมดาไป ต้อง VIP ถึงจะเจ๋งครับ วิธีง่ายสุดคือ แชร์เพลงประจำวันไปยัง Facebook หรือ We Chat ก็จะได้ VIP 1 วัน ฟรี แต่ถ้าชวนเพื่อนมาลงทะเบียนอันนี้ได้ VIP 30 วันเลย เป็นกลยุทธ์ Member get Member (MGM) แต่ลูกค้าหลายคนก็ยอมเสียเงินเพื่อเป็น VIP เพราะจะได้ฟังเพลงมากขึ้น (บางเพลงลูกค้าทั่วไปฟังไม่ได้) ฟังเพลงที่มีคุณภาพเสียงละเอียดมากขึ้น (หูเทพอย่างเราฟังเพลงบีบอัดมากๆ มันระคายหู) ฟังเพลงแบบไม่มีโฆษณาคั่น และที่สำคัญดาวน์โหลดมาฟังแบบออฟไลน์ได้ด้วย โมเดลนี้น่าสนใจนะครับ เค้าเรียกว่า “Freemium” มาจากคำว่า Free + Premium คือให้บริการลูกค้าโดยทั่วไปฟรี แต่ถ้าต้องการบริการพิเศษก็ต้องจ่ายเพิ่ม Application ทั้งหลายใช้แบบนี้กันเยอะมาก Startup ทั้งหลายนำไปปรับใช้ดูก็ได้นะครับ จริงๆ แล้วก็คล้ายกับกลยุทธ์ราคาแบบ “Captive Product Pricing”
กลยุทธ์นี้มีการใช้กันมานานมาก คนไทยคุ้นเคยกันดี (โดนกันมาทุกคนนั่นแหละ) เพียงแต่อาจจำชื่อกลยุทธ์กันไม่ค่อยได้ ความหมายก็คือ การตั้งราคาให้สินค้าหลักมีราคาต่ำมากๆ หรืออาจจะให้ฟรีด้วยซ้ำ แล้วค่อยไปคิดเงินเพิ่มจากสินค้าที่ต้องซื้อมาใช้ประกอบกัน แน่นอนทำกำไรจากสินค้าซื้อประกอบนี่แหละ ตัวอย่างคลาสสิคที่สุดคือ มีดโกนหนวด ที่ราคาด้ามมีดราคาไม่แพง แต่เวลาเปลี่ยนใบมีดแต่ละครั้งนี่หน้ามืดเลย เดี๋ยวนี้มีแบบ 2,3,4 ใบมีดเสียด้วย แปรงสีฟันไฟฟ้าก็เช่นกัน เดี๋ยวนี้ตัวแปรงราคาถูกลงมาก แถมหัวแปรงอีก 1 อัน แต่แปรงแบบนี้ยิ่งแปรงก็ยิ่งมัน หัวแปรงก็เลยบานเร็ว พอไปซื้อหัวแปรงเปลี่ยนก็หน้ามืดอีกเช่นกัน ลองคิดถึงสินค้าที่ใช้กลยุทธ์ราคาเหล่านี้สิครับ Printerกับหมึก, Game Consoleกับตลับ, Cloud Serviceกับพื้นที่ความจุ หรือแม้แต่บัตรเข้าชมสวนสนุกก็ตาม เวลาไปสวนสนุกที่ต่างประเทศ จ่ายเงินเพิ่มอีกมาก ไหนจะ Speed Pass เพราะขี้เกียจรอคิว ไหนจะค่าอาหารที่แพงติดระดับโลก (และไม่ค่อยอร่อยด้วย) รวมไปถึงจ่ายค่าถ่ายรูปกับคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนทั้งหลาย ก็มันน่ารักนี่นา ใครจะอดใจไหว เรียกว่าบางทีค่าใช้จ่ายที่จ่ายเพิ่มมากกว่าค่าบัตรผ่านประตูเสียอีก
[caption id="attachment_140556" align="aligncenter" width="503"]
Startup นำกลยุทธ์แบบนี้ไปใช้ได้นะครับ เพราะการให้ Free Trial ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือโหลด App ของเราได้ง่าย จะให้ฟรีกี่สัปดาห์ กี่เดือน หรือกี่ปีก็ตามสะดวก แต่ต้องไม่ลืมว่าการสร้างรายได้ของเราหรือ Revenue Model ของเรามาจากไหน และมาจากกี่ทาง บางครั้งอาจจะมาจาก Subscription หรือการสมัครของลูกค้า บางครั้งอาจจะมาจาก Sponsor หรือการขายโฆษณา บางครั้งอาจจะมาจากการ Upgrade เป็นVIP ก็ได้
กลยุทธ์ราคามีหลายแบบครับ และนับวันจะยิ่งมีเงื่อนไขต่างๆ มากขึ้น นักการตลาดที่ดีก็จะรู้จักใช้วิธีการต่างๆ ในการตั้งราคา กลยุทธ์ราคาอาจใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อให้เห็นผลมากขึ้น เช่นการออกสินค้าแบบ Limited Edition แล้วตั้งราคาแบบ Premium Price ก็ดึงดูดลูกค้าบางกลุ่มได้ไม่ยาก สำหรับผู้บริโภคเองก็ต้องศึกษาเพื่อที่จะรู้เท่าทัน จะได้บริโภคได้อย่างฉลาด แต่หลายครั้งที่เราคิดละเอียดดีแล้ว แต่ก็ยังซื้อสินค้านั้นกลับมาบ้านเฉยเลย ก็เดี๋ยวนี้การตั้งราคามันเนียนขึ้นจริงๆ นี่นา #งงเด้งงเด้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,252 วันที่ 13 - 15 เมษายน พ.ศ. 2560