สพฉ.เผยผู้ป่วยฉุกเฉินใช้สิทธิ 3 วันแรกกว่า 200 ราย

05 เม.ย. 2560 | 05:53 น.
สพฉ. เปิดข้อมูลการทำงานของศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต 3 วันพบประชาชนขอใช้สิทธิ์ UCEP แล้วกว่า 200 กว่า โทรเข้ามาขอคำปรึกษา 300 กว่าราย เลขา สพฉ.ย้ำให้ประชาชนจดจำกลุ่ม 6 อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตไว้ ให้ขึ้นใจและหากพบเห็นผู้ป่ วยให้รีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 เพื่อขอใช้สิทธิ์ UCEP ได้ทันที เชื่อระบบจะค่อยๆ พัฒนาให้ประชาชนได้รับการรักษาอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

a1 ภายหลังจากได้มีการประกาศใช้“นโ ยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนั บระยะรวมของการดำเนินการตามนโยบ ายดังกล่าวคือ 4 วันแล้ว ล่าสุดศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ  (ศคส.สพฉ.)  หรือUCEP Coordination Center ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลถึงสถิติก ารใช้งานตามสิทธิ UCEP ของประชาชน  โดย ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการสพฉ. ระบุว่า เราได้ดำเนินโครงการตามแนวนโยบา ย เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ หรือ UCEP มาได้ 4 วันแล้ว ซึ่งจากเก็บรวบรวมสถิติข้อมูลกา รดำเนินการของศูนย์ ตั้งแต่วันที่ 1-3 เม.ย.ที่ผ่านมามีจำนวนผู้ป่วยที่ เข้ามาในระบบ 235ราย และเป็นผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ UCEP 113 ราย  โดยเป็นผู้ป่วยจากสิทธิกองทุนปร ะกันสุขภาพถ้วนหน้า 70 ราย ผู้ป่วยจากกองทุนสิทธิประกันสัง คม 70 ราย ผู้ป่วยจากกองทุนสิทธิข้าราชการ20 ราย สิทธิจากกองทุนอื่นๆอีก 7 ราย และเป็นผู้ป่วยที่ไม่เข้าเกณฑ์ใ ดๆ อีก 122 ราย นอกจากนี้ และมีประชาชนโทรเข้ามาขอคำปรึกษาอีกกว่า 307 สาย  อย่างไรก็ตามเราได้พยายามเร่ งทำความเข้าใจให้กับประชาชนเข้ าในถึงขั้นตอนต่างๆ ในการใช้สิทธิ โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจเรื่ องอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตที่ สามารถใช้สิทธิ UCEP ได้

a2  ร.อ.นพ.อัจฉริยะกล่าวว่า ตนอยากย้ำข้อมูลกับประชาชนอี กครั้งว่า ผู้ที่จะใช้สิทธินี้ได้ต้อง เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้และเป็นโรง พยาบาลเอกชนนอกคู่สัญญากับกองทุ นที่ผู้ป่วยมีสิทธิ์ โดยเริ่มที่สามกองทุนก่อน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ,กองทุนประกันสังคม,กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ผู้ที่จะใช้สิทธินี้ได้ต้องเป็น ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ตามหลักเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วยฉุ กเฉิน ที่ กพฉ.ประกาศกำหนด และ รายละเอียดเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่ว ยฉุกเฉินวิกฤต ที่ สพฉ. กำหนดกรณีกลุ่มอาการฉุกเฉินวิกฤต คือ   หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง   ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด แบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด หรือมีอาการอื่นร่วม ที่มีผลต่อการหายใจระบบการไหลเวียนโลหิตและระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยตนอยากให้ประชาชนยึดหลักของก ลุ่ม 6 อาการนี้ไว้สำหรบการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต

a3 เลขาธิการสพฉ.ว่า อย่างไรก็ตามการทำงานของสายด่ วน 1669 ในระบบปรกตินั้นก็ยังดำเนินต่อไป  โดยประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินก็ สามารถโทรเข้ามาเพื่อขอใช้บริการสายด่วนของเราได้ ซึ่งเราก็จะมีนิยามในการคัดแยกอ าการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 25 กลุ่มอาการเหมือนเดิมอาทิ  1.ปวดท้องบริเวณหลัง เชิงกราน และขาหนีบ 2.แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้สัตว์ต่อย แอนาฟิแล็กซิส ปฏิกิริยาภูมิแพ้ 3.สัตว์กัด 4.เลือดออกโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจ ากการบาดเจ็บ 5.หายใจลำบาก หายใจติดขัด 6.หัวใจหยุดเต้น 7.เจ็บแน่นทรวงอก หัวใจ มีปัญหาทางด้านหัวใจ 8.สำลัก อุดกั้นทางเดินหายใจ 9.เบาหวาน 10.ภาวะฉุกเฉินเหตุสิ่งแวดล้อม 11.ปวดศีรษะ ภาวะผิดปกทางตา หู คอ จมูก 12.คลุ้มคลั่ง ภาวะทางจิตประสาท อารมณ์ 13.พิษ รับยาเกินขนาด 14.มีครรภ์ คลอด นรีเวช 15.ชัก มีสัญญาณบอกเหตุการชัก 16.ป่วย อ่อนเพลีย อัมพาตเรื้อรัง ไม่ทราบสาเหตุจำเพาะ 17.อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียความรู้สึก ยืนหรือเดินไม่ได้เฉียบพลัน 18.ไม่รู้สติ ไม่ตอบสนอง หมดสติชั่ววูบ 19.เด็ก กุมารเวช 20.ถูกทำร้าย 21.ไหม้ ลวกเหตุความร้อน สารเคมี ไฟฟ้าช็อต 22.ตกน้ำ จมน้ำ บาดเจ็บทางน้ำ 23.พลัดตกหกล้ม อุบัติเหตุ เจ็บปวด 24.อุบัติเหตุยานยนต์ และ 25.อื่นๆ ซึ่งหากประชาชนท่านใดที่เจ็บป่ว ยฉุกเฉินระบบก็จะดำเนินการให้ผู้ป่วยทุกท่านได้รับการรักษาที่ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทุกคน

“ อยากให้ประชาชนจำ 6 อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตไว้ ให้แม่น และหากพบเห็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤ ต  ตาม 6 อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้รีบโทรสายด่วน 1669 เพื่อเข้าให้การช่วยเหลือนำส่งโ รงพยาบาลที่เหมาะสมทันที  ทั้งนี้หากประชาชนท่านใดยังมีคว ามไม่เข้าใจในการดำเนินการตามนโ นบาย UCEP นี้ก็สามารถโทรเข้ามาสอบถามได้ ที่เบอร์ 02- 872- 1669 หรืออีเมล์  [email protected] “ ร.อ.นพ.อัจฉริยะกล่าว