TPIPP เข้าเทรดวันแรกตั้งเป้าสู่ผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า

05 เม.ย. 2560 | 04:58 น.
5 เม.ย.60-บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ด้านผู้บริหารระบุอยู่ระหว่างขยายโรงไฟฟ้าใหม่อีก 3 โรง คาดเริ่ม COD ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ดันกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มเป็น 440 MW

นายประชัย  เลี่ยวไพรัตน์  ประธานกรรมการ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP ผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) เปิดเผยว่า ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้ชื่อย่อ ‘TPIPP’ ในการซื้อขาย ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน หลังจากที่เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้น ประชาชนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน ในราคาหุ้นละ 7 บาท โดยบริษัทฯ จะนำเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการขยายธุรกิจและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานรวมถึงนำไปชำระหนี้คงค้าง

ทั้งนี้ บริษัทฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) ที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ‘ขยะเป็นศูนย์’ หรือ Zero Waste เพื่อที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและมีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตไฟฟ้า รวมถึงคำนึงถึงหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

“เรามีวิสัยทัศน์ที่จะเป็นผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและมีประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากการนำขยะจากชุมชนและขยะจากหลุมฝังกลบมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF ที่มีค่าความร้อนสูง เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า ขณะเดียวกัน เรามีจุดยืนการทำธุรกิจด้วยแนวคิด Clean and Green Energy, Clean Up Country ที่จะช่วยลดปริมาณขยะที่เกิดขึ้นจำนวนมากในแต่ละวัน” นายประชัย กล่าว

นายภากร เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPIPP กล่าวว่า บริษัทฯ มีธุรกิจหลัก 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค ได้แก่ ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่มุ่งเน้นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง โดยมีโรงไฟฟ้าที่ COD แล้ว 4 โรง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 150 MW ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 2 โรง กำลังการผลิตติดตั้งโรงละ 20 MW และ 60 MW รวมเป็น 80 MW ปัจจุบันมี กฟผ. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจำนวน 73 MW และได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ที่ 3.50 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มเติมจากค่าไฟฟ้าพื้นฐาน 7 ปีนับจากวันที่เริ่มซื้อขายไฟฟ้า และมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งอีก 2 โรง กำลังการผลิตติดตั้งโรงละ 40 MW และ 30 MW โดยมี บมจ.ทีพีไอ โพลีน เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า พร้อมกันนี้ ยังมีสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ที่นำขยะจากชุมชนและขยะจากหลุมฝังกลบมาคัดแยกและแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF เพื่อใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยปัจจุบันสามารถรับขยะชุมชนเข้าสู่กระบวนการผลิต 4,000 ตันต่อวัน ซึ่งนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF ได้ 2,000 ตันต่อวัน

ส่วนธุรกิจหลักกลุ่มที่สอง คือ ธุรกิจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติ (NGV) ภายใต้เครื่องหมายการค้า‘ทีพีไอพีแอล’ (TPIPL) รวม 12 แห่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้จากการขายอินทรียวัตถุที่เหลือใช้จากสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ให้แก่บริษัท ทีพีไอ โพลีน ชีวะอินทรีย์ จำกัด ในเครือ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยชีวภาพ โปรไบโอติกส์เพื่อการเลี้ยงสัตว์และการกำจัดสิ่งปฏิกูลในน้ำอีกด้วย

กรรมการผู้จัดการใหญ่ TPIPP กล่าวว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่อีก 3 โรง คาดว่าจะเริ่ม COD ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลให้มีกำลังการผลิตติดตั้งเพิ่มขึ้นอีก 290 MW รวมเป็น 440 MW ประกอบด้วย

1.โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW ซึ่งเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะนำกำลังการผลิตติดตั้งไปรวมกับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง 30 MW เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 100 MW เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. 2.โรงไฟฟ้าถ่านหิน 150 MW และ 3.โรงไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW ที่ออกแบบให้สามารถผลิตไฟฟ้าสำรองป้อนให้โรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 60 MW หรือโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW โรงใดโรงหนึ่งในกรณีที่เครื่องจักรชำรุด เพื่อสร้างความมั่นคงในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. อีกทั้งอยู่ระหว่างขยายสถานประกอบการผลิตเชื้อเพลิง RDF ให้สามารถรับขยะชุมชนเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ตันต่อวัน จากเดิม 4,000 ตันต่อวัน ซึ่งจะนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง RDF เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ตันต่อวัน จากเดิม 2,000 ตันต่อวัน

นอกจากนี้ ยังมีแผนปรับปรุงโรงไฟฟ้าในปัจจุบัน ได้แก่ โครงการปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้งเพื่อเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตไฟฟ้า และโครงการติดตั้งเครื่องคัดแยกขยะเบื้องต้นเพื่อใช้งานที่หลุมฝังกลบของบริษัทจัดการขยะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพขยะที่จัดส่งให้ TPIPP คาดว่าทั้ง 2 โครงการจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปีนี้ รวมถึงมีโครงการลงทุนซื้อหม้อผลิตไอน้ำที่ใช้เชื้อเพลิง RDF อีก 2 เครื่อง เพื่อสำรองให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 60 MW และโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ 70 MW ในกรณีที่ต้องหยุดซ่อม คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2561