เคทีบีฯชูผลิตภัณฑ์ครบเครื่อง ให้คำแนะนำเจ๋งดึงดูดลูกค้า ยกระดับICเพิ่มคุณภาพบริการ

24 มี.ค. 2560 | 07:00 น.
ธุรกิจหลักทรัพย์แข่งดุเดือด “วิน อุดมรัชตวนิชย์”ชูจุดแข็งของบล.เคทีบีฯดึงดูดลูกค้า ขอเวลาจัดบ้าน เพิ่มคุณภาพของ IC ยกระดับการให้บริการ

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST ซึ่งเพิ่งเข้ามาบริหารเมื่อปีที่ผ่านมาและเข้ามาถือหุ้นเพิ่มจาก 25% เป็น 30% เมื่อต้นปี 2560 เปิดเผยกรณี บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)ฯ จะเริ่มบุกธุรกิจหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน2560 เป็นต้นไป ว่าขนาดของทุนจดทะเบียนเป็นตัวแปรผันในการทำธุรกิจ เคทีบีวางตำแหน่งในการดำเนินงาน โดยการเสนอผลิตภัณฑ์ครบถ้วนตามความต้องการของลูกค้าที่มีความรู้ที่ต้องการสินค้าหลากหลาย พร้อมการให้คำปรึกษาที่มีคุณค่า ทำให้นักลงทุนชื่นชอบในการมาใช้บริการของบริษัท

ขณะเดียวกันการเป็นผู้บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นด้วย ถือเป็นข้อดีมาก เพราะไม่มีแรงกดดันในการทำธุรกิจว่าจะต้องมีกำไรไปเรื่อยๆ บริษัทสามารถใช้เวลาในการจัดบ้าน พร้อมดูแลพนักงานให้มีคุณภาพมากขึ้น ในส่วนผู้แนะนำการลงทุน(IC)ที่มีจำนวน 200 คน แต่ละคนก็มีศักยภาพ สามารถยกระดับในการให้บริการได้ เป็นเรื่องปกติที่ผู้แนะนำสนิทกับลูกค้ามาก แต่บางครั้งอาจจะไม่รู้จังหวะเวลาในการใช้กลยุทธ์อะไรสำหรับการลงทุน แม้มีผลิตภัณฑ์มากก็ตาม ทั้งกองทุนและตราสารหนี้

“ผมเป็นผู้บริหารที่แปลก มองไม่เหมือนคนอื่นเรื่องลูกค้าเป็นของบริษัท แต่ผมมองว่าลูกค้าเป็นของผู้แนะนำการลงทุน จึงต้องดูแลพนักงานให้ดีที่สุด แต่ก็ไม่มายที่ IC จะย้ายไปไหน สำหรับคนที่มีโอกาส และไม่มีการดึงตัวมาจากที่อื่น เราจะค่อยๆจัดบ้าน ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบุคลากรได้เอง ”นายวินกล่าว

สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มทีมธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Wealth Management) จำนวน 70 คน และมีผู้แนะนำการลงทุนจำนวน 200 คนเท่าเดิม ซึ่ง ผลิตภัณฑ์ที่มีมากขึ้น ช่วยกระจายรายได้และเพิ่มช่องทางในการสร้างกำไร ทำให้ในปี 2559 บริษัทมีกำไรเป็นปีแรกในรอบ10 ปี ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้นจาก 200 ล้านบาทเป็น 600 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงจาก 90% ลงมาเหลือ 55% และมีลูกค้าใหม่จำนวน 2,300 คนปัจจุบันมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กว่า 7,000 บัญชี

นายวินกล่าวถึงการก้าวเข้ามาอยู่ในวงการธุรกิจหลักทรัพย์ หลังจากอยู่ในธุรกิจกองทุนรวมมานานตั้งแต่ปี 2547 เพราะชื่นชอบตลาดทุน ธุรกิจหลักทรัพย์มีใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจถึง 11 ใบ สามารถทำธุรกิจได้ทุกอย่างยกเว้นการฝากเงินและปล่อยสินเชื่อ ตลาดทุนเป็นแหล่งระดมทุนที่ต่ำมาก อาชีพที่ดีมากคือการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน สามารถหาช่องทางที่ดีที่สุดให้กับธุรกิจ ผ่านทางงานวิจัยหรือการควบรวมกิจการ เพื่อทำให้ประหยัดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและประเทศชาติ

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯจะเริ่มดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินในปี 2561 โดยเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย และรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอแล้ว

ก่อนหน้านี้ นายวินกล่าวว่า การนำหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) มีโอกาสเกิดขึ้นได้เร็วขึ้นเป็นในปี 2561 หลังจากที่ในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถพลิกกลับมามีกำไรครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี โดยมีกำไร 10 ล้านบาท และตั้งเป้าปีนี้จะมีกำไรเพิ่มเป็น 30-50 ล้านบาท มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่ง ระดับ 5 หมื่นล้านบาท จาก 2 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว และกองทุนส่วนบุคคล 5,000 ล้านบาท จาก 2,500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งการตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 2% จาก 1.7-2% และจะรักษาการติดอันดับ 1 ใน 5 ของการซื้อขายสินค้าล่วงหน้า

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,246 วันที่ 23 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2560