นักวิชาการชี้การนำเงินบริจาคของวัดไปซื้อหุ้นในนามของนิติบุคคลไม่ผิดคณะสงฆ์ แต่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ชี้เรื่องนี้ควรจะมีการปรับปรุงข้อกฏหมายตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 เนื่องจากปัจจุบันกฏหมายไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
นี่คือความคิดเห็นของอาจารย์ ณดา จันทร์สม หนึ่งในผู้ที่เคยทำงานวิจัยเกี่ยวกับการบริหารการเงินของวัดในประเทศไทย ยืนยันว่า ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ไม่ได้มีกฏข้อห้ามในเรื่องของการนำเงินบริจาคของผู้ที่มีจิตศรัทธาไปต่อยอดในการบริหาร แต่ส่จากการทำงานวิจัยและลงพื้นที่พบว่า ที่ผ่านมายังไม่เคยมีข้อมูลปรากฏว่า มีวัดใดในประเทศไทยนำเงินที่ได้รับจากผู้มีจิตศรัทธาไปต่อยอดในลักษณะของการซื้อหุ้น ส่วนมากเกือบร้อยเปอร์เซนต์จะนำเงินไปฝากไว้กับธนาคาร
แต่การนำเงินบริจาคของวัดไปซื้อหุ้น แม้ว่าข้อกฏหมายจะไม่ได้ห้าม แต่ตามกฎหมายวัดมีฐานะเป็นนิติบุคคลเป็นองค์การไม่แสวงหากำไร และมีกิจกรรมจัดหาทุนผ่านการบริจาค จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และตรวจสอบได้
แต่การนำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ผ่านการเล่นหุ้นนั้น คงต้องย้อนกลับมาดูเจตนาว่า ในกรณีของพระทัตตชีโว หรือพระเผด็จ นำเงินของวัดพระธรรมกายไปเล่นหุ้นนั้น เป็นการกระทำในนามของวัด หรือเพื่อส่วนตัว ซึ่งถ้าเป็นกรณีหลังเรื่องนี้ส่วนตัวมองว่า ไม่น่าจะเป็นการกระทำที่ถูกต้อง
ขณะเดียวกัน อาจารย์ ณดา ระบุเพิ่มถึงส่วนของบริหารการเงินภายในวัด ซึ่งปัจจุบันมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก และไม่ได้มีรูปแบบที่ตายตัวซึ่งจะมีทั้งในรูปแบบของคณะกรรมการบริหาร ซึ่งเป็นไวยาวัจกรตามที่มีกฎหมายรองรับ หรือบางวัดก็จะเป็นลักษณะของคณะกรรมการดูแลและตัดสินใจเรื่องต่างๆ ซึ่งมีเพียงเจ้าอาวาสเป็นผู้ดูแลแทนทั้งหมด ดังนั้น ในวันนี้น่าจะถือเป็นเวลาที่เหมาะสม ที่ทุกฝ่ายควรย้อนกลับมาดูเพื่อแก้ไข้อุดช่องโหว่ของกฏหมายที่อยู่ เพื่อรองรับกำกับดูแลในเรื่องการบริหารการเงินของวัดในปัจจุบัน และถูกนำไปใช้อย่างถูกต้อง
อาจารย์ ณดา ทิ้งท้ายว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมากเกิดจากตัวบุคคล ที่แสวงหาผลประโยชน์จากช่องว่างของกฏหมายที่ไม่ได้รัดกุมและ ไม่เพียงพอต่อความโปร่งใส จึงทำให้ประชาชนหรือผู้ที่มีความรู้ในด้านนี้สามารถเข้าไปตรวจสอบการบริหารการเงินของวัดได้