ดันบ้านไฮเอนด์ในเมืองแข่งตลาดคอนโดฯหรู

21 มี.ค. 2560 | 04:00 น.
กูรูอสังหาฯเผยโครงการแนวราบไฮเอนด์ในเมือง-นอกเมืองพาเหรดเข้าตลาดต่อเนื่องโดยเฉพาะแนวราบกลางเมืองชี้คุ้มกว่าซื้อคอนโดฯลักชัวรี-ซูเปอร์ลักชัวรี อนันดา ยอมรับปรับแผนรุกตลาดแนวราบระดับบนมากขึ้น เอสซี แอสเสท เดินหน้ารักษามาร์เก็ตแชร์กลุ่มบน

นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปัจจุบันลูกค้ามองหาที่อยู่อาศัยแนวราบในเมืองมากขึ้น จะเป็นกลุ่มเฉพาะที่ต้องการอยู่ในเมือง แต่ไม่อยากอยู่คอนโดมิเนียม เนื่องจากคอนโดมิเนียมในเมืองมีขนาดพื้นที่เล็กลง แต่ราคาขายสูง หากเปรียบเทียบราคาขายต่อตารางเมตรระหว่างแนวราบกับคอนโดมิเนียมในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ราคาขายต่อตารางเมตรของแนวราบถูกกว่า เพียง 1 แสนบาทต่อตารางเมตร ในขณะที่คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีมีราคาขายมากกว่า 2 แสนบาทต่อตารางเมตร ที่สำคัญโครงการแนวราบต้องอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์รุกตลาดแนวราบให้สอดคล้องกับแนวโน้มของตลาด และความต้องการของผู้บริโภค รวมไปถึงต้องการขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากยิ่งขึ้น

"ปีนี้ตลาดบ้านเดี่ยวมองว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับราคา 20 - 30 ล้านบาท ที่มีความต้องการจริงจากผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย และไม่ได้รับ ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ บริษัทมีแผนเตรียมเปิดโครงการแนวราบใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,431 ล้านบาท ตั้งเป้าการเติบโตของโครงการแนวราบไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท หรือ เกือบ 400% ภายใน 3 ปีต่อจากนี้"

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการระดับไฮเอนด์ที่มีราคาขายมากกว่า 20 ล้านบาท จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จนสามารถก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดไฮเอนด์ที่ครองมาร์เก็ตแชร์อันดับ 1-2 มาตลอดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคามากกว่า 20 ล้านบาท ที่ประมาณ 15-20% จากมูลค่าตลาดรวมบ้านเดี่ยวกว่า 1 แสนล้านบาท

โดยตลาดกลุ่มใหญ่คือบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ประมาณ 2 ใน 3 ของมูลค่าตลาดรวม ซึ่งในกลุ่ม 3-5 ล้านบาท บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ประมาณ 1% เท่านั้น ขณะที่ในกลุ่ม 5-10 ล้านบาท บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ที่ 10% สำหรับตลาดทาวน์โฮมในปี 2559 มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท โดยกว่า 60% เป็นทาวน์โฮมราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ดังนั้นแผนดำเนินงานนับจากนี้คือการขยายฐานลูกค้าในกลาง-บน เพิ่มมากขึ้น เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,245 วันที่ 19 - 22 มีนาคม พ.ศ. 2560