บลจ.กสิกรไทยชูอสังหาฯไทยและสิงคโปร์โชว์ฟอร์มดี

07 มี.ค. 2560 | 02:51 น.
บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุน K-PROP รวมกว่า 30 ล้านบาท เผยธุรกิจภาคอสังหาฯ ไทยและสิงคโปร์โชว์ฟอร์มดี

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค พร็อพเพอร์ตี้ เซคเตอร์ (K-PROP) ในอัตรา 0.14 บาทต่อหน่วย  สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2559 - 28 ก.พ.2560 ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 มีนาคม 2560 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้น 31.82 ล้านบาท

ด้านผลการดำเนินงานของกองทุน K-PROP นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนไปเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2559 มีการจ่ายปันผลแล้วทั้งสิ้น 3 ครั้ง รวมเป็นอัตรา 0.38 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในรอบ 9 เดือนอยู่ที่ประมาณ 3.65% ขณะที่ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 1.30% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ -3.29% และผลตอบแทนย้อนหลังนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 8.01% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานซึ่งอยู่ที่ 0.36% ข้อมูล ณ 28 ก.พ. 2560 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์และกระแสเงินสดที่กองทุนได้รับทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยและสิงคโปร์

สำหรับกองทุน K-PROP มีกลยุทธ์การลงทุนโดยเน้นคัดเลือกหลักทรัพย์ อาทิ หน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และ REITs ทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์ที่มีความมั่นคงและสามารถสร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ โดยปัจจุบันจะเน้นการลงทุนในภาคธุรกิจที่พึ่งพาความต้องการในประเทศเป็นหลัก อาทิ ในหมวดห้างค้าปลีก อาคารสำนักงานของทั้งประเทศไทยและสิงคโปร์ รวมถึงหมวดโรงงานและคลังสินค้าในสิงคโปร์

นางสาวธิดาศิริ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีอัตราการจ่ายปันผลอยู่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับตลาดในภาพรวม โดยภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีอัตราจ่ายปันผลอยู่ที่ 6.06%  จากข้อมูลบลูมเบิร์ก 17 ก.พ.2560 ขณะที่อัตราการจ่ายปันผลของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 3%

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะมีความชัดเจนขึ้น โดยตลาดคาดการณ์โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED จากการประชุมในเดือนมีนาคมนี้อยู่ที่ 88% ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้นกลุ่มอสังหาฯ ในระยะสั้น นักลงทุนจึงควรติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับมุมมองในระยะยาว หลักทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ยังถือว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่ม Income ซึ่งรายได้หลักของธุรกิจมาจากค่าเช่ามีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ  จึงเหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการกระจายการลงทุนเพื่อโอกาสสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ