กระทรวงอุตฯชูผลงาน S-curve ลงทุน EEC รีบู้ทอุตสาหกรรมไทย

10 ก.พ. 2560 | 07:47 น.
กระทรวงอุตฯชูผลงาน S-curve ลงทุน EEC  รีบู้ทอุตสาหกรรมไทย  ชงนายกฯ หนุนกองทุนพัฒนา SMEs แล ศูนย์ทดสอบยางล้อฯ เพิ่มเชื่อมั่นเศรษฐกิจ

นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วันนี้ (10 ก.พ.60) กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 2/2560 ซึ่ง กระทรวงฯได้เตรียมประเด็นการนำเสนอ 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.กระทรวงอุตสาหกรรมและการขับเคลื่อน Thailand 4.0   2.การดำเนินงานตามข้อสั่งการ 3.การขอรับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี และ 4.การบูรณาการกับส่วนราชการอื่น

กระทรวงฯ ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 ระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12  โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มอัตราการเติบโตต่อปีของภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย การขยายตัวของ GDP การลงทุน การส่งออก  การเพิ่มผลิตภาพ และการสร้างนักอุตสาหกรรมใหม่ ที่เป็นการวางรากฐานการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรมและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในอนาคตที่ผ่านมาได้มีการดำเนินงานสำคัญ ได้แก่ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve โดยต่อยอด  5 อุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพและผลักดันให้เกิดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมใหม่ เป็น 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตของไทย ตัวอย่างเป้าหมาย เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ จะพัฒนาเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ สู่การเป็นศูนย์กลางการออกแบบฯ การแปรรูปอาหาร สู่ท๊อปเท็นการส่งออกและเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ แฟชั่น สร้างกรุงเทพเป็นเมืองแฟชั่นของเอเชีย หุ่นยนต์ เป็นผู้นำการผลิตและใช้หุ่นยนต์ในอาเซียน การแพทย์ครบวงจร เป็นศูนย์ R&D ผลิตภัณฑ์ยาและสมุนไพร อาหารทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ของภูมิภาค การบิน มีการผลิตชิ้นส่วนอากาศยานในประเทศ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ สู่การเป็นฮับพลาสติกชีวภาพของโลก เป็นต้น

ในปี 2559 กระทรวงฯ ได้เร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมที่เป็น S-curve จำนวน 1,219 ราย มูลค่าลงทุน 135,000 ล้านบาท และในปี 2560 คาดว่าจะมีการลงทุน ประมาณ 142,000 ล้านบาท รวมทั้งได้เตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนใหม่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ในจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา รวมกว่า 180,000 ไร่ ตลอดจนได้ทยอยพัฒนาระบบการอนุญาตที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (E-License) มากขึ้น

สำหรับ การพัฒนา SMEs ได้มีโครงการที่เหมาะสมกับช่วงวงจรชีวิตของธุรกิจ แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ 1) กลุ่มผู้ประกอบการใหม่ มุ่งสร้างเอสเอ็มอีที่มีไอเดียสู่ผู้ประกอบการเชิงสร้างสรรค์ที่มีนวัตกรรม 2) กลุ่มเอสเอ็มอีรายเดิม จะส่งเสริมดิจิทัลเพื่อปรับธุรกิจสู่ SMEs ยุค 4.0 และ 3) กลุ่มเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหา ได้เปิดศูนย์ SME Rescue Center เพื่อเข้ากระบวนการพลิกฟื้น ช่วยเหลือแล้วกว่า 2,600 ราย

ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับกระทรวงฯ ใน 3 เรื่อง คือ 1.การตรวจสอบโรงงานที่มีการร้องเรียนซ้ำซาก 2.การตรวจสอบโรงงานที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำสายหลัก และ 3.การพัฒนา EEC ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดตั้งสำนักงานประจำอยู่ที่อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และมีการจัดทำแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ EEC แล้วเสร็จ และจัดตั้ง One Stop Service ที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี  ส่วนความคืบหน้าของร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก คาดว่าจะประกาศใช้อย่างช้าภายในครึ่งปีแรกของปี 2560” นายสมชาย กล่าว

สำหรับประเด็นที่กระทรวงฯ จะขอรับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี มีด้วยกัน 2 เรื่อง คือ 1.การจัดตั้งกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จำนวน 2 หมื่นล้าน ที่มุ่งหวังให้เป็นกองทุนเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุน SMEs ปรับธุรกิจสู่ยุค 4.0 และเปลี่ยนสู่การผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นตามนโยบาย Thailand 4.0 ตั้งเป้าหมายจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการที่มีศักยภาพโดยเฉพาะที่อยู่ในภูมิภาคได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่น้อยกว่า 9,070 ราย เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับฐานราก 75,200 ล้านบาท  และ 2. โครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ โดยการขอรับการสนับสนุนงบประมาณปี 2561 ในระยะที่ 1 เป็นการสร้างสนามทดสอบยางล้อ UN R117 จัดซื้อครุภัณฑ์สำหรับการทดสอบ รวมถึงการติดตั้งเครื่องมือทดสอบ ส่วนงบประมาณระยะที่ 2 จะเป็นศูนย์การทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน

ทั้งนี้ กระทรวงฯ เสนอประเด็นที่ต้องดำเนินงานบูรณาการร่วมมือกับหน่วยงานอื่นอีก 3 เรื่อง คือ 1.โครงการความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของประเทศไทย เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย และโรคจากการทำงาน  สร้างเสริมความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของคนงาน โดยจะเดินหน้ารณรงค์ทั่วประเทศในปี 2560 2.เหมืองแร่ทองคำ ได้รายงานความคืบหน้าที่ผ่านมา จากการที่กระทรวงฯ ได้ร่วมกับอีก 3 กระทรวงหลัก โดย กระทรวงอุตสาหกรรมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมกันกำกับดูแลการฟื้นฟูพื้นที่ฯ ในเบื้องต้นได้พิจารณาแผนฟื้นฟูฯ และให้บริษัทที่เกี่ยวข้อง ไปปรับปรุงแผน ซึ่งจะมีการลงพื้นที่ตรวจสอบติดตามเป็นระยะๆ กระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลด้านสุขภาพประชาชนในพื้นที่ ได้จัดตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง มีทีมแพทย์เยี่ยมบ้านประชาชน ฯลฯ และกระทรวงแรงงาน ซึ่งรับดูแลพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการระงับการประกอบกิจการเหมืองทองคำ ในเบื้องต้นได้รับขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงานแล้ว จำนวน 477 คน และให้ประกันสังคมจ่ายผลประโยชน์ทดแทนแก่ลูกจ้างทุกคน และได้จัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานด้วย และ 3.หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อเป็นต้นแบบของการพัฒนาสินค้าและบริการจากทุนวัฒนธรรมเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายพัฒนา 1 จังหวัด 1 หมู่บ้านให้ครบทั่วประเทศ ในปีนี้จะนำร่อง 9 หมู่บ้าน

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้ายว่า “เพื่อให้การพัฒนาอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการไปสู่ประเทศไทย 4.0 ให้เห็นภาพอย่างชัดเจน กระทรวงฯ เองได้ปรับตัวเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และพัฒนา SMEs เข้าสู่ยุค 4.0 โดยจะดูแลส่งเสริมผู้ประกอบการในทุกระดับให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งการปรับบทบาทและโครงสร้างกระทรวงฯ จะแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 จะเรียบร้อยภายใน 6 เดือนแรกของปี 2560 ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที  ส่วนระยะที่ 2 จะเสร็จสิ้นภายในปี 2562 ที่จะมีการปรับปรุงกฎหมายเดิมและออกกฎหมายใหม่ เชื่อว่าจะสามารถดูแลส่งเสริมเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มีผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น”