ธปท.เผยแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี 60-62 ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจการเงินไทยมั่นคงมีเสถียรภาพ

23 ธ.ค. 2559 | 09:08 น.
GOV_002 นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงว่า คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุมัติแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานของ ธปท. สำหรับช่วงปีพ.ศ. 2560-2562 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

สภาพแวดล้อมเศรษฐกิจการเงินโลกในระยะต่อไปมีแนวโน้มผันผวน ไม่แน่นอน ซับซ้อน และยากที่จะคาดการณ์มากขึ้น ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบาง ขณะที่เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและหนี้ครัวเรือน ตลอดจนเตรียมการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสและลดต้นทุนให้แก่ภาคธุรกิจและผู้ใช้บริการ แต่ในขณะเดียวกันอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบวิถีชีวิต รูปแบบการดำเนินธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างคาดหวังให้ ธปท. ดูแลเสถียรภาพและส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจได้อย่างสมดุล

ภายใต้บริบทดังกล่าว ธปท. ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในระยะ 3 ปีข้างหน้า โดยมุ่งหวังที่จะวางรากฐานการทำหน้าที่ของ ธปท. เพื่อส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจการเงินไทยมั่นคงมีเสถียรภาพ และเศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั่วถึง และพร้อมปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลมีพัฒนาการที่จะตอบโจทย์ของประเทศเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ฉบับนี้ประกอบด้วย 3 ด้านสำคัญ กล่าวคือ

ด้านที่ 1 การรักษาเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน (Stability) ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของธนาคารกลาง ธปท. จะมุ่งรักษาเสถียรภาพการเงินและเสถียรภาพระบบการเงิน ของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยจะพัฒนาศักยภาพการติดตามและประเมินความเสี่ยง ควบคู่ไปกับการเตรียมเครื่องมือด้านนโยบาย ให้พร้อมใช้อย่างทันท่วงทีตลอดจนผลักดันให้กลไกตลาดอัตราแลกเปลี่ยนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ทบทวนกฎระเบียบด้านการควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นแกนผลักดันการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินของประเทศร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลอื่นอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการรักษาเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน จะปรับปรุงการกำกับดูแลให้พร้อมรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับระบบการเงิน แต่ในขณะเดียวกัน ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน รวมทั้งขับเคลื่อนให้สถาบันการเงินมีการกำกับดูแลความเสี่ยงด้านไอทีและภัยคุกคามจาก cyberที่ได้มาตรฐานสากล และเตรียมความพร้อมภาคการเงินไทยเพื่อเข้ารับการประเมิน Financial Sector Assessment Program ในมิติของเสถียรภาพระบบการชำระเงิน ธปท. จะให้ความสำคัญกับการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการชำระเงินหลักให้มั่นคงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เตรียมพร้อมรองรับบทบาทหน้าที่ของ ธปท. ตามพระราชบัญญัติการชำระเงินที่มีขอบเขตงานมากขึ้น รวมทั้งขยายการกำกับดูแลให้ครอบคลุมบริการใหม่ๆ โดยเฉพาะ mobile payment ด้วยการกำกับดูแลที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการ

ด้านที่ 2 การพัฒนาระบบการเงิน (Development) ธปท. จะส่งเสริมให้ผู้ให้บริการทางการเงิน (รวมทั้ง FinTech) มีการแข่งขัน สร้างนวัตกรรมและบริการทางการเงินดิจิทัลที่ครบวงจร รวมทั้งสนับสนุนบทบาทของผู้บริการเฉพาะทาง (niche players) เพื่อลดช่องว่างของการเข้าถึงบริการทางการเงิน นอกจากนี้ ธปท. จะขับเคลื่อนให้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกลางที่สามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น ระบบเดบิตการ์ดในประเทศ และผลักดันให้ค่าธรรมเนียมสะท้อนโครงสร้างต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงการพัฒนาระบบข้อมูล SMEs ที่จะสนับสนุนการให้สินเชื่อที่ไม่ต้องพึ่งพิงหลักประกันเพียงอย่างเดียว(information based lending) ซึ่งแนวนโยบายเหล่านี้จะช่วยลดต้นทุนของระบบในภาพรวม อันจะนำไปสู่บริการทางการเงินที่ถูกลง ทั่วถึง และเป็นธรรม พร้อมกันนี้ ธปท. จะสนับสนุนให้เกิดความเชื่อมโยงของระบบการเงินกับต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV) ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตที่สูง ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนได้รับความสะดวกในการทำธุรกรรมมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง ตลอดจนยกระดับการกำกับดูแลสถาบันการเงินเพื่อคุ้มครองผู้ใช้บริการ ให้ได้รับการบริการอย่างเป็นธรรม (market conduct) และส่งเสริมวินัยทางการเงินอย่างเป็นระบบ เช่น การออมเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และสนับสนุนให้มีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้แก่รายย่อย ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

ด้านที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งขององค์กร (Internal Excellence) เพื่อขับเคลื่อนแผน ยุทธศาสตร์นี้ให้สำเร็จ ธปท. จำเป็นต้องยกระดับองค์กรให้ทันสมัย คล่องตัว ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ (1) ระบบข้อมูลและการวิเคราะห์โดยเพิ่มศักยภาพการวิเคราะห์ข้อมูลระดับจุลภาค (data analytics) และใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีความถี่สูงจากหลากหลายแหล่งมากขึ้น (2) ความเป็นเลิศด้านวิจัย ส่งเสริมให้มีงานวิจัยเชิงลึกทั่วทั้งองค์กรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมกับนโยบายและช่วยเสนอแนะแนวทางการยกระดับศักยภาพและพัฒนาระบบการเงินและเศรษฐกิจไทย (3) ศักยภาพบุคลากร เสริมสร้างให้พนักงานมีศักยภาพสูงและมีความหลากหลาย ควบคู่กับการบริหารทรัพยากรให้ยืดหยุ่นขึ้น เพื่อรองรับภารกิจที่เปลี่ยนแปลง (4) ศักยภาพองค์กร ปรับองค์กรให้มีความยืดหยุ่น กระบวนการทำงานคล่องตัว ทันสมัย และเพิ่มขีดความสามารถด้านไอที และ (5) เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง โดยเปิดรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน เสริมสร้างความสัมพันธ์และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสื่อสารกับสาธารณชนให้เข้าใจง่ายและรวดเร็ว รวมถึงเปิดศูนย์การเรียนรู้สร้างสรรค์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางเศรษฐกิจการเงินอย่างครบวงจร

โดยสรุป แผนยุทธศาสตร์ 3 ปี ฉบับนี้เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทาง โดยความสำเร็จของการเดินทางสู่เป้าหมายนั้น ขึ้นอยู่กับกระบวนการขับเคลื่อนที่ชัดเจน ตลอดจนความมุ่งมั่น และร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวข้อง ธปท. มุ่งหวังว่า ความสำเร็จของการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์นี้จะสร้างประโยชน์ให้แก่ทุกภาคส่วน “เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนของไทย”