มั่นใจเศรษฐกิจจีน แข็งแรงแบบไร้ไขมัน

14 ธ.ค. 2559 | 13:00 น.
ทั่วโลกต่างจับตาสาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะประเทศที่มีกำลังซื้อขนาดใหญ่ โดยเฉพาะนับแต่ที่สหรัฐอเมริกาได้ว่าที่ ทั่ ประธานาธิบดีคนใหม่ ประกาศหนักแน่นจะเล่นงานกับทุกประเทศที่ทำการค้า แบบไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะจีนที่ถูกตั้งข้อสังเกตมากสุดว่า ส่งสินค้าเข้ามาทุ่มตลาด อีกทั้งยังมองว่าฐานการผลิตของทุนอเมริกาที่อยู่ในจีน อาจจะหันหัวเรือกลับบ้านได้ และไทยจะกระทบอย่างไรในฐานะที่ทั้ง 2 ประเทศเป็นคู่ค้าหลัก

ล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ ธนากร เสรีบุรี รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ถึงมุมมองดังกล่าวในฐานะที่ทำการค้า การลงทุนในจีน

 มองเศรษฐกิจจีน

รองประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ฉายภาพรวมของเศรษฐกิจจีนในเวลานี้ว่า จะมองสวนทางกัน ตอนนี้ทุกคนมองเศรษฐกิจจีนแย่ แต่ผมมองว่าไม่แย่ เพราะมองเห็นว่าจีนต้องการให้เศรษฐกิจโต 6% เติบโตแบบแข็งแรง ถ้าเป็นสรีระก็โตแบบที่ไม่มีไขมันจะมีแต่กล้ามเนื้อโดยการส่งออกของจีนยังดีอยู่เพียงแต่เศรษฐกิจโตในอัตราที่ช้าลง และนโยบายจีนจะออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น มองว่าต่อไปการกีดกันทางการค้าจะเกิดขึ้นมาก จีนจำเป็นต้องออกไปลงทุนนอกประเทศมากขึ้นโดยใช้นโยบาย วันเบลต์วันโรด (OneBelt and Road) ออกไปลงทุนแล้วได้ตลาดท้องถิ่นและสามารถส่งออกได้ด้วย และมองการลงทุนภายในควบคู่ไปด้วย เนื่องจากอีกหลายพื้นที่ในจีนยังไม่ได้พัฒนา และรถไฟความเร็วสูงของจีนที่มี 2 หมื่นกิโลเมตรหรือเท่ากับ 70% ของโลกทำให้จีนเล็กลง ไปไหนมาไหนสะดวกมากขึ้น

อีกทั้งนำเข้า ส่งออกสินค้าของจีนก็เพิ่มขึ้นทุกปี และจีนได้ดุลการค้าทุกปี โดยมีสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2554 ปี 2559 จีนมีการสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ 3.1ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นอย่าเพิ่งไปมองว่าจีนจะพัง หรือจะแย่เพียงแต่จีนมีการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง ดูจากปี 2557 จีดีพีจีนอยู่ที่7.3% ปี 2558 อยู่ที่ 6.9% ล่าสุดปี2559 อยู่ที่ 6.6%
ด้านการท่องเที่ยวในจีนก็เพิ่มขึ้น จะเห็นว่า ปี 2559 ช่วง 10 เดือนแรก มีมูลค่า 1.07 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นไทยยังดึงทุนจีนเข้ามาลงทุนได้อีกมากนับจากนี้ไปการค้า การลงทุนในจีน

 ทรัมป์มองจีนกระทบไทยหรือไม่

สำหรับกรณีที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกานั้น โดยส่วนตัวมอง ว่า เป็นเรื่องดีต่อประเทศไทยและในภาคพื้นนี้จีนน่าจะได้ประโยชน์ ทั้งจีนไทย และญี่ปุ่นจะไปด้วยกันดี ส่วนกรณีที่ทรัมป์บอกว่า จะไม่ซื้อสินค้าจีนนั้น ผมไม่เชื่อ แล้วใครเชื่อบ้างว่าไอโฟนของอเมริกาจะไม่ผลิตในจีน ซึ่งผมไม่เชื่อ และมองว่าตรงนี้ควรจะเป็นการแบ่งงานกันทำมากกว่า โดยงานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอเมริกาจะเก่ง จะคิดเรื่องการวิจัยและพัฒนา คิดเรื่องการพัฒนาเป็น 5 จี 6 จีส่วนงานที่ใช้แรงงานผลิต จีนจะเหมาะกว่า เพราะมีแรงงานถูกกว่า และมีตลาดขนาดใหญ่

“ในจีนมีโทรศัพท์มือถือ 800 ล้านเครื่อง มีคนในประเทศจีน 1,300 ล้านคนเดี๋ยวนี้ต่อคนใช้โทรศัพท์ 2 เครื่องก็มีมากขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่อเมริกาจะไม่ผลิตในจีน เพราะได้ทั้งต้นทุนค่าแรงถูก ได้ทั้งตลาดไอโฟนขนาดใหญ่ เหมือนการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ ถ้าอเมริกาไม่ไปตั้งที่จีน บริษัทรถยนต์ในอเมริกาคงแย่ เพราะทั้งค่ายฟอร์ด ค่ายเจนเนอรัล มอเตอร์สหรือ จีเอ็ม อยู่ในจีน ขายในจีน ซึ่งมีตลาดใหญ่ อเมริกาก็ได้ประโยชน์ด้วย”

ส่วนความร่วมมือความตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ ทีพีพี น่าจะมีการปรับเงื่อนไขให้แฟร์มากขึ้น เพราะการมีความร่วมมือระหว่างประเทศจะเกิดประโยชน์มากกว่า

 แผนงานซีพีในต่างประเทศ

สำหรับธุรกิจของซีพี ในแง่ห่วงโซ่ของอาหารดาวน์สตรีมนั้น เรา (ซีพี) มีความพร้อมอยู่แล้ว และกำลังมุ่งไปยังตลาดค้าปลีก และฟูดคอร์ด ไปสู่อาหารสำเร็จรูปมากขึ้นโดยใช้ปริมาณมาก ใช้มืออาชีพมาทำอาหาร และร้านค้าที่ขายอาหารก็จะดึงมาเป็นพาร์ตเนอร์กับเราโดยซีพีผลิต แล้วแม่ค้าเอาไปขาย เพราะต่อไปคนจะเลือกกินอาหารที่ถูกสุขอนามัยมากขึ้น เราต้องผลิตจำนวนมากเพื่อให้ต้นทุนตํ่าที่สุดและขายถึงมือผู้บริโภคต้องไม่แพง มีการควบคุมคุณภาพการผลิต

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในประเทศและต่างประเทศจะมุ่งผลิตอัพสตรีมมากขึ้น และจะผลิตบุคลากรระดับอินเตอร์มากขึ้น และให้สามารถทำงานได้ทั่วโลกโดยซีพีมีบุคลากรรวม 3 แสนคน เฉพาะในไทยก็ประมาณ 1 แสนคน โดยปัจจุบันท่านประธาน (เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์)คุมบุคลากรเอง พยายามพัฒนาคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่เรียนรู้อะไรเร็ว ติดต่อทั่วโลกได้ สามารถติดต่อทั่วโลกผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้คล่องกว่า

 มิ.ย.60 เปิดซูเปอร์แบรนด์มอลล์

สำหรับความคืบหน้าการพัฒนาพื้นที่ขนาด 1 ล้านตารางเมตร สร้างซูเปอร์แบรนด์มอลล์ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 14 แห่ง ความสูง 30 ชั้นที่เมือง Luoyang ที่มณฑลเหอหนาน จะเปิดโครงการได้ในเดือนมิถุนายน 2560 จะมีศูนย์การค้าขนาด 1.70 หมื่นตารางเมตร มีศูนย์ราชการขนาด 1.40 แสนตารางเมตร ซึ่งขณะนี้คอนโดมิเนียมขายหมดแล้ว ในราคาต่อตารางเมตร 3.50หมื่นบาท ยังไม่รวมตบแต่ง ยังมีตึกสูงเป็นออฟฟิศ 56 ชั้น อีก 2 อาคาร และความสูง 40 ชั้น อีก 2 อาคาร โดยทั้งหมดนี้ใช้เงินทุนรวมราว 4 หมื่นล้านบาท ตรงนี้ในอนาคตมูลค่าสินทรัพย์จะสูงมาก

ล่าสุดมีโครงการก่อสร้าง ซูเปอร์แบรนด์มอลล์ ขนาดพื้นที่ก่อสร้างราว 3 แสนตารางเมตรอีก ที่เมืองเหอเฟ่ย(Hefei) มณฑลฮันฮุย (Anhui) ทำเป็นศูนย์การค้า มีโลตัส มีค้าปลีกและแหล่งช็อปปิ้ง แต่ไม่มีคอนโดมิเนียมพื้นที่ดังกล่าวถ้านั่งรถไฟความเร็วสูงจากเซี่ยงไฮ้ไปที่ Hefei ใช้เวลาราว 2ชั่วโมง ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างก่อสร้างคาดว่า ปี 2562 จะแล้วเสร็จใช้เงินลงทุนราว 2 หมื่นล้านบาท

มอง ศก.ไทยปีหน้าขยายตัวสูงขึ้น

นอกจากนี้ นายธนากร ยังมองภาพใหญ่เศรษฐกิจไทยปี 2560ด้วยว่า จะฟื้นตัวดีกว่าปีนี้แน่นอนทำให้บริษัท เอ็ม จี.เซลส์ ประเทศไทยจำกัด วางเป้าหมายปี 2560-2561ได้ชัดเจนขึ้น โดยจะขายรถเอ็มจีให้ได้มากขึ้นถึงเท่าตัวหรือมีเป้าหมายอยู่ที่ 1.8 หมื่นคัน จากที่ปี 2559 จะขายได้ 9,000 คัน ในรถรุ่น MG3,MG5, MG6 และรถ MG GS 1.5เทอร์โบ เป็นรถเอนกประสงค์ ที่จะเปิดตัวแล้วในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปสามารถรับออร์เดอร์ ได้ภายในปลายปีนี้ ตั้งเป้าในปีหน้า รถรุ่นนี้จะขายได้ถึง 2,000 คัน นอกจากนี้ปีหน้าจะเปิดตัวรถตู้ สำหรับใช้โดยสารและสำหรับนั่งไปทำงานขนาด 11 ที่นั่งเป็นรุ่น G10 อีกด้วย

“เป้าหมาย 1.8 หมื่นคัน ที่จะผลติ ขายได้จะมาจากรถเก่า ที่เปิดตัวไปแล้วและจะมีรถที่ปรับโฉมใหม่ออกสู่ตลาดปีหน้ามากขึ้นโดยมีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศเพิ่มจาก 80 แห่งเป็น 100 แห่ง”

ทั้งนี้การที่บริษัท เซี่ยงไฮ้มอเตอร์ออโตโมบิล จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์เอ็มจี (มอร์ริส การาจส์) ร่วมมือกับกลุ่มซีพีเป็น การมองระยะยาวร่วมทุนทำตลาดแบรนด์เอ็มจีในไทยโดยอุตสาหกรรมรถยนต์จะต้องเดินไปพร้อมกันทั้งระบบคือ 1. จะต้องมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากที่สุดโดยนำเข้าชิ้นส่วนให้น้อยที่สุด 2. จะต้องมีศูนย์บริการที่พร้อมและมากขึ้น3. จะต้องมีบริการหลังการขาย4. ขนาดกำลังผลิตรถเอ็มจีในไทยจะต้องมีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อที่ต้นทุนรวมจะได้ตํ่าลง

 เล็งปี60 ไทยส่งออกรถเอ็มจีได้

สำหรับปี 2561 โรงงานผลิตที่ชลบุรีเสร็จ (ปัจจุบันเช่าโรงงานที่เหมราชประกอบ) มีขนาดพื้นที่ 400ไร่ จะเป็นโรงงานผลิตรถยนต์ที่ทันสมัย ด้วยระบบออโตเมชัน มีขีดความสามารถในการผลิตได้เต็มที่ราว 5หมื่นคันต่อปี สำหรับเฟสแรกภายใน3 ปี นับจากวันที่โรงงานที่ชลบุรีผลิตได้ ส่วนเฟส 2 จะมีขนาดกำลังผลิต1 แสนคันต่อปี โดยทุนจีนต้องการใช้ฐานผลิตไทยผลิตรถพวงมาลัยขวาเพื่อการส่งออกด้วยในอนาคต

“ปัจจุบันเรายังไม่มีการส่งออกจากไทยออกไป และเมื่อกำลังการผลิตขยับไปได้ถึง 3 หมื่นคัน ก็จะส่งออกได้ คาดว่าภายในปี 2560 น่าจะมีบางส่วนส่งออกได้แล้ว”

นายธนากรกล่าวอีกว่า รถเอ็มจีมาลงทุนในไทยได้ใช้เงินลงทุนไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ถ้าผลิตได้5 หมื่นคัน จะต้องใช้เงินลงทุนอีกราว2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งในเบื้องต้นเอ็มจีประสบผลสำเร็จแล้วในด้านตลาดแต่สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือการลดต้นทุนการผลิตให้ได้มากขึ้น และทำโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การรุกคืบในอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยเป็นเครื่องหมายการันตีว่า เศรษฐกิจไทยปีหน้าดีขึ้นแน่นอน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,217 วันที่ 11-14 ธันวาคม 2559