ตลาดตปท.หนุนหุ้นบวก 2.62 จุด

06 ธ.ค. 2559 | 06:03 น.
ตลาดหุ้นไทยวันที่ 6 ธันวาคม ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับต่างประเทศ หลังจากตลาดคลายกังวลเรื่องผลการลงประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศอิตาลีที่ออกมาคือไม่รับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าว และสหรัฐประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง  ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ 1,504.28 จุด บวก 2.62  จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,279.47 ล้านบาท

มาร์เก็ตติงกล่าวว่า  นักลงทุนขายทำกำไรหุ้นพลังงานออกมาหลังจากราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าอ่อนตัวลงเล็กน้อย รวมถึงขายหุ้นธนาคารพาณิชย์ที่กังวลเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล)มีแนวโน้มสูงต่อเนื่องในปีหน้าสร้างภาระในการตั้งสำรองหนี้เพิ่มขึ้นขณะเดียวกันมีแรงซื้อหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยสนับสนุน

ด้านหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ประกอบด้วย   PTTEP  ปิดที่ 87.25 บาทลดลง 2.25 บาท,PTT       ปิดที่  357 บาท เพิ่มขึ้น  1 บาท , PTTGC  ปิดที่  62.75 บาท ลดลง 2 บาท, AOT  ปิดที่ 396 บาท ลดลง     1 บาท และ GL  ปิดที่ 60 บาท เพิ่มขึ้น   3 บาท

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในเดือนธันวาคมนี้   นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)แอพเพิล เวลธ์ กล่าวว่า  ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบ  1,488 – 1,540 จุด ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากกลุ่มโอเปกได้ข้อสรุปปรับลดลงกำลังการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรลส่งผลให้คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปี 2560 มีโอกาสปรับตัวขึ้นสู่ระดับเฉลี่ย 55 ดอลลาร์/บาร์เรล

นอกจากนี้ ตลาดฯยังจะได้แรงหนุนจากเม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว( LTF )และกองทุนรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ( RMF)ที่จะเข้ามาในตลาดประมาณ 2 หมื่นล้านบาทด้วย

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำซื้อลงทุน PTT , PTTEP , PTTGC , CK , STEC , ROBINS , HMPRO , CENTEL ,ERW

ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาด ได้ปัจจัยหนุนจากรัฐบาลเร่งการประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู – เหลืองให้เสร็จภายในกลางเดือนธันวาคมนี้

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)   ในวันที่ 13 – 14 ธันวาคมนี้ มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินเอเชียและเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นไทย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์( TIP) จำนวน 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการประชุมธนาคารกลางยุโรป( ECB) วันที่ 8 ธันวาคมนี้ อาจจะมีการพิจารณาขยายมาตรการซื้อพันธบัตรที่จะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมปีหน้าออกไปอีก 6 เดือน