หอการค้าฯประกาศ“ปฏิญญาอยุธยา” ขับเคลื่อนประเทศสู่ Thailand 4.0

27 พ.ย. 2559 | 09:34 น.
สัมมนาหอการค้าฯ ครั้งที่ 34 รวมพลังหอการค้าทั่วประเทศ ประกาศ “ปฏิญญาอยุธยา” สานพลังความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับผู้ประกอบการสู่ Trade & Services 4.0 ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจ ขับเคลื่อนประเทศสู่ Thailand 4.0

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ภาพรวมการจัดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 34  ว่า ในปีนี้ใช้แนวคิดในการสัมมนาฯ ว่า “นวัตกรรม ทำจริง สู่ประเทศไทย 4.0” (Executing Innovation toward Thailand 4.0) เพื่อการพัฒนาและยกระดับประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันทางด้านการค้า การลงทุน การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่ระบบการค้าอัจฉริยะ “Trade & Service 4.0”

ดร.เดช เฉิดสุวรรณรักษ์ กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (YEC) หอการค้าไทย กล่าวว่า การสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศในครั้งนี้ ได้มีการจัดสัมมนากลุ่ม Young Entrepreneur Chamber of Chamber (YEC) โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่จะมาประชุมกำหนดกรอบการทำงานร่วมกัน เพื่อพัฒนาต่อยอดธุรกิจการค้าและสร้างเครือข่ายอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้มีการประชุมในเรื่องต่าง ๆ  ประกอบด้วย การชี้แจงแนวปฏิบัติการเป็นสมาชิก YEC และการขับเคลื่อน YEC ปี 2560 การทบทวนโครงการ YEC ที่ผ่านมา , การเสวนา Inspire Speech "We Are TCC" และกิจกรรม YEC ปี 2560  YEC Pitching  โดยมีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทั่วประเทศ จำนวน 300 คน เข้าร่วมการสัมมนาฯ

นายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานกลุ่มที่ 1 เรื่อง  “การเชื่อมโยงธุรกิจในภูมิภาค CLMVT+” (CLMVT + :  Regional Value Chain Linkage) กล่าวว่า กลุ่มประเทศ CLMV เป็นกลุ่มประเทศคู่ค้าที่มีความสำคัญต่อประเทศไทย ด้วยกำลังซื้อจากประชากรกว่า 250 ล้านคน อัตราการเติบโตเฉลี่ยของ GDP มากกว่า 7% สูงกว่าการเติบโตและมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีมูลค่าการค้ากับประเทศ CLMV อยู่เพียง 1 ล้านล้านบาท แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มประเทศ CLMV มีมูลค่าการค้าขายกับทั่วโลกมากถึง 12.5 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าประเทศไทยทำการค้ากับกลุ่มประเทศ CLMV เพียง 8.6% ซึ่งประเทศไทยยังมีโอกาสในการดึงส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ใน CLMV จากตลาดโลก ดังนั้น การค้าและการลงทุนในประเทศ CLMV ถือเป็นเป้าหมายสำคัญของประเทศไทย เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโต เข้มแข็ง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้  อย่างไรก็ตาม การเข้าไปลงทุนยังมีประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไข  จากการระดมความเห็นจึงได้ข้อเสนอแนะ ดังนี้

1) โครงสร้างพื้นฐาน  ผลักดันให้ยกระดับด่านการค้าเพิ่มขึ้น, ขยายเวลาเปิดด่านการค้าชายแดนถึง 24.00 น. 2) ปลดล็อกทางการค้า  การใช้เงินสกุลท้องถิ่นบริเวณชายแดน, ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างกันออกไป (NTM / NTB), ผลักดันความตกลง GMS CBTA, ส่งเสริมให้มีการนำเข้าสินค้าจาก CLMV, ความตกลงร่วมมือในการขนส่งสินค้าระหว่างกัน  3) Knowledge Tank  ศูนย์รวมข้อมูลการค้า การลงทุนให้กับผู้ประกอบการไทย สามารถหาข้อมูลได้ในจุดเดียว 4) การพัฒนาบุคลากรและการศึกษา การพัฒนาบุคลากรในประเทศ CLMV เพื่อรองรับการลงทุนของธุรกิจไทย, การพัฒนาผู้ประกอบการให้มีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาด CLMV 5) การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว  ACMECS Single Visa เพื่อให้สอดคล้องกับ concept “5 Countries 1 Destination”, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ , การรักษาพยาบาล 6) ความร่วมมือระหว่างกัน  การพบปะกันระหว่างกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ (YEC), การตั้งศูนย์กระจายสินค้า และ 7) Team Thailand + ปลดล็อคปัญหาทางการค้าที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน และ เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึกที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่

นายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานกลุ่มที่ 2 เรื่อง “องค์กรที่ประสบผลสำเร็จในสภาวะเศรษฐกิจยุคใหม่” (Successful Enterprise for Modern Environment) กล่าวว่า องค์กรที่สามารถปรับตัวและอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภาวะเศรษฐกิจและสังคมตามทิศทางของโลก ซึ่งความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันที่เห็นได้ชัด คือ การมี New Business Model ของหลายบริษัทที่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจของตนเองจากเดิม เปลี่ยนไปใช้ Social Media ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสะท้อนถึงบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีที่ทำให้รูปแบบของธุรกิจเปลี่ยนไป

จากการระดมความคิดเห็นร่วมกัน  สามารถสรุปประเด็นสำคัญสำหรับองค์กรธุรกิจในสภาวะเศรษฐกิจยุคใหม่ที่จะสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด (Leapfrog) และทำให้ก้าวไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ดังนี้ 1) นวัตกรรม (Innovation) เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรมของสินค้าและบริการ (Product and Service) หรือ กระบวนการ (Process) ซึ่งเป็นสิ่งที่หอการค้าไทยให้ความสำคัญมาตลอด อาทิ การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม (Innovation-Driven Entrepreneurship: IDE) และโครงการคูปองนวัตกรรม เป็นต้น 2) เทคโนโลยี (Technology) เป็นปัจจัยที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อทำการตลาด, การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design), การเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากด้วย e-Commerce หรือ การใช้ Big Data กำหนดทิศทางของธุรกิจและวิเคราะห์ความต้องการลูกค้า เป็นต้น 3) การบริหารองค์กร (Management) ประกอบไปด้วยระบบงานส่วนหน้า (Front Office), ส่วนกลาง (Middle Office), ส่วนหลัง (Back Office) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากองค์กรที่จะประสบความสำเร็จได้ จะต้องมีการบริหารจัดการที่ดีและเหมาะสมกับรูปแบบการประกอบธุรกิจ 4) New Marketplace การเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจในการเข้าสู่ตลาด จากเดิมที่เป็นรูปแบบปกติ คือ การนำสินค้าเข้าสู่ Modern Trade เป็นการก้าวกระโดด ด้วยการใช้ e-Commerce ให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและหลากหลายกลุ่ม

นายกลินท์ สารสิน รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานกลุ่มที่ 3 เรื่อง “การสร้างเศรษฐกิจ จากวัฒนธรรม” (Cultural Economy) กล่าวว่า Thailand Services 4.0 เป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มมูลค่าและความแตกต่างให้กับธุรกิจ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนในรูปแบบของเอกลักษณ์และเสน่ห์ไทย หรือ "Innovative on Thai Services" คือมีความคิดสร้างสรรค์ (Creative) มีวัฒนธรรม (Cultural) และมีการนำเทคโนโลยีดิจิตอล (Digital Technology) เข้ามายกระดับการให้บริการ ทั้งนี้ ต้องมีปัจจัยพื้นฐานคือ มาตรฐานการบริการ รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ภายใต้การดำเนินตามหลักการปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) กล่าวคือ ความมีเหตุผล - ความพอประมาณ - มีภูมิคุ้มกัน และใช้ความรู้ควบคู่กับคุณธรรม รวมทั้ง การมีส่วนร่วม (Inclusive) ของชุมชนและทุกภาคส่วน จะนำพาให้การบริการของไทยก้าวสู่ยุคใหม่ ได้อย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ จากการระดมความคิดเห็น ได้ข้อเสนอเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันผ่านแนวคิด “Cultural Economy” ดังนี้ 1)การปรับเปลี่ยนภาคการบริการ (Service Sector) ของประเทศไทยให้เข้าสู่ “Thailand Services 4.0” โดยดำเนินการผ่านแนวคิด “Cultural Economy” ของหอการค้าไทยคือ การใช้วัฒนธรรม ภูมิปัญญา อัตลักษณ์ท้องถิ่น เชื่อมโยงกับความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่างสำหรับสินค้าและบริการ นำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และคุณค่าในทางสังคม โดยเชื่อมโยงตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่าการท่องเที่ยว (Value Chain) 2)การขับเคลื่อนการสร้าง Cultural Economy ผ่านโครงการ “ไทยเท่ ทั่วไทย” ซึ่งเป็นการจัดประกวดโครงการที่นำวัฒนธรรมท้องถิ่น ผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ มาสร้างสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม ให้กับเศรษฐกิจในพื้นที่แต่ละจังหวัดทั่วประเทศไทย 3)แนวทางของหอการค้าไทยและหอการค้าทั่วประเทศ ในการสนับสนุนการขับเคลื่อน Cultural Economy โดยเสริมสร้างผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่า และสร้างเศรษฐกิจในท้องถิ่น ตามแนวคิด Cultural Economy ผ่านเครื่องมือที่หลากหลาย ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การสัมมนา การศึกษาดูงาน การฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ เช่น หลักสูตร IDEA ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นต้น

งานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 34 ได้มี “ปฏิญญาอยุธยา” ที่หอการค้าทั่วประเทศได้ข้อสรุปร่วมกันในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ตามแนวทางดังต่อไปนี้

(1)หอการค้าทั่วประเทศ จะสานพลังร่วมมือตามแนวทางประชารัฐร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Inclusive Growth)

(2)หอการค้าทั่วประเทศ จะสนับสนุนภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศไทย ตามนโยบาย Thailand 4.0

(3)หอการค้าทั่วประเทศ จะลงมือทำนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล มาให้พัฒนากระบวนการทางธุรกิจไปสู่การค้าและบริการ 4.0 (Trade and Service 4.0) ซึ่งเป็นการค้าและบริการบนระบบอัจฉริยะ (Smart Platform)

“ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว หอการค้าไทย คาดว่าจะช่วยผลักดันให้มูลค่าการค้าและบริการของประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าปีละ 50,000-100,000 ล้านบาท หรือช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 0.4-0.7% ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในปี 2560 เติบโตที่ระดับ 4.0%”นายอิสระ กล่าวสรุป