ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงเทขายจากต่างชาติจากปัจจัยต่างประเทศยังไม่นิ่ง

21 พ.ย. 2559 | 02:18 น.
บล.KTBST มองตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (21-25 พ.ย.) ปัจจัยต่างประเทศที่ยังไม่นิ่ง แรงขายจากต่างชาติยังคงมีจากความไม่แน่นอนในนโยบายนายทรัมป์และเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed แนะลงทุนระมัดระวัง เน้นกลุ่ม Domestic Play เป็นหลัก มองดัชนีฯสัปดาห์นี้ผันผวนในกรอบ 1,451 -1,510 จุด

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (21-25 พ.ย.) ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังไปขึ้นกับปัจจัยในต่างประเทศ เราเชื่อว่านักลงทุนยังไม่มั่นใจว่านโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ จะลบต่อตลาดหุ้นมากหรือน้อยขนาดไหน ซึ่งจะทำให้การซื้อขายในสัปดาห์นี้จะเต็มไปด้วยความระมัดระวังและอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อความคืบหน้าในเรื่องนี้  นอกจากนี้ การประชุมระหว่าง OPEC และผู้ผลิตน้ำมันรายอื่น เช่น รัสเซีย ก็ไม่ได้มีความคืบหน้าหรือสามารถระบุตัวเลขของกำลังการผลิตน้ำมันที่จะลดลงได้ ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ผ่านช่วงของการรายงานผลประกอบการมาแล้ว ตลาดยังไม่ได้มีอะไรใหม่ๆ  แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศ น่าจะยังมีต่อหลังตลาดมีทั้งความเสี่ยงต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯและความเสี่ยงจากนโยบายการค้าต่างประเทศของสหรัฐฯ ส่งผลให้เงินดอลล่าร์กลับมาเป็น safe haven asset อีกครั้งหนึ่ง และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเป็นตัวเร่งให้มีการขายเร็วขึ้น (วันศุกร์ ปิดที่ 35.55 บาท/ดอลล่าร์ ; อ่อนค่าลงจากช่วงก่อนเลือกตั้งสหรัฐฯ ประมาณ 1.7%)

ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดในสัปดาห์นี้มากที่สุดที่ บล.KTBST มองคือ 1.) นโยบายใหม่และการนำมาใช้จริงของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะสามารถนำมาใช้จริงได้มากเพียงใด โดยเฉพาะนโยบายที่มีผลมาถึงประเทศอื่นๆ ที่เราประเมินในเบื้องต้นคาดจะนำมาใช้เพียงบางส่วนแต่ตลาดตอนนี้รับรู้ว่าจะทำตามนโยบายเกือบทั้งหมด 2.) การเข้าพบนายทรัมป์กับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในช่วงปลายสัปดาห์ก่อน แสดงให้เห็นว่าประเทศที่ได้รับผลกระทบมีความตื่นตัวมากเพียงใดต่อนโยบายที่ใช้หาเสียงของประธานาธิบดีท่านนี้ ญี่ปุ่นอาจมีผลกระทบมาก ทั้งสัญญาการค้า TPP (Trans-Pacific Partnership) และนโยบายกำลังทหารของสหรัฐฯนอกประเทศ  3.) การกล่าวสุนทรพจน์ของประธาน Fed ที่ชี้เห็นว่าผลลบหากนำเอานโยบายที่นายทรัมป์ใช้หาเสียงมาปฎิบัติจริง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับตลาด เพราะพรรครีพับรีกันที่อยู่ในทั้งสองสภาฯ อาจไม่ได้เห็นพ้องกับนายทรัมป์ในทุกๆเรื่องไป โดยเฉพาะเรื่องที่อาจเป็นลบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯในอนาคต แต่ปัจจัยตัวนี้จะมีความสำคัญมากที่สุดต่อทิศทางตลาดหุ้นและเศรษฐกิจมากที่สุดในวลานี้ และ 4.)นอกจากนี้ หากดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หรือ Bond Yield ยังมีการปรับขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นลบต่อต้นทุนทางการเงินของประเทศอื่นๆ ที่จะสูงขึ้น และมีความเสี่ยงมากขึ้น รวมทั้ง จะทำให้ประเทศ ที่ใช้ QE ต้องทยอยลดการใช้ QE เร็วก่อนกำหนด ในประเด็นนี้ อาจทำให้บริษัทที่กำลังจะ re-finance ด้วยหุ้นกู้มีต้นทุนเพิ่มขึ้น (เป็นลบ)

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้ จึงยังต้องใช้ความระมัดระวังอยู่ต่อไป แม้เราประมาณการว่าตลาดจะรับรู้เรื่องลบไปมากแล้วก็ตาม แต่ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ที่ยังไม่นิ่งและคาดเดายากว่าจะออกไปในทางใด เนื่องจากไม่ได้มีเพียงเรื่องเดียว บล.KTBST แนะนำให้ชะลอการลงทุน โดยเฉพาะหุ้นที่มีความเสี่ยงจากการขายโดยนักลงทุนต่างประเทศ แต่มองว่าด้วยระดับดัชนีตลาดหุ้นไทย ที่มีจุดแข็งตรงที่มีปัจจัยในประเทศหนุนและตลาดหุ้นไทยเองไม่ได้ปรับขึ้นมามากหรือค่า P/E สูงมากนัก (current p/e = 16.2 เท่า ; คำนวณโดย KTBST) แรงขายที่เกิดขึ้น จึงไม่น่าที่จะรุนแรงนัก (ยกเว้นสถานการณ์เลวร้ายกว่าเกินที่เราคาดไว้) โดยมองดัชนีฯสัปดาห์นี้ จะผันผวนในกรอบ 1,451 -1,510 จุด

โดยหุ้นที่มีโอกาสฟื้นกลับเร็วหรือหุ้นที่น่าสนใจ จะเป็นหุ้นที่มีธุรกิจในประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ (Domestic Play) หรือ และหุ้นกลุ่มที่ราคาปรับตัวลงมามาก  ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มที่ถูกมองเป็นลบจากนโยบายของนายทรัมป์เช่น กลุ่มส่งออก หากมีความเป็นไปได้ว่า การค้าระหว่างประเทศจะไม่ถูกกระทบหรือกระทบน้อย จะเป็นกลุ่มที่จะกลับมาบวกได้ เช่นกันหุ้นที่เป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ (Dividend Play) จะถูกลดความน่าสนใจลง เป็นผลจากที่ผลตอบแทนตราสารพันธบัตรที่ต้องการที่จะสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นลบต่อหุ้นเหล่านี้ โดยเฉพาะหุ้นที่มีการจ่ายปันผลไม่สูงนัก