มาลีกรุ๊ปเผยกำไรไตรมาส 3 เติบโตก้าวกระโดด 176%

11 พ.ย. 2559 | 03:20 น.
นางสาวรุ่งฉัตร  บุญรัตน์  ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาลีกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE  เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2559 ว่า “บริษัทฯและบริษัทย่อยมียอดขายรวม 1,770 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสร้างสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ และเริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2521 เติบโต 33% YoY และมีกำไรสุทธิ 161 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 176 % YoY โดยกำไรสุทธิรายไตรมาสสูงสุดนับจากช่วงปี 2555 ที่บริษัทฯ ได้รับผลประโยชน์จากการรับจ้างผลิต เนื่องจากลูกค้ากลุ่มธุรกิจ CMG ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ส่งผลให้เก้าเดือนแรกของปี 2559 กลุ่มบริษัทมียอดขายรวม 5,063 ล้านบาท เติบโต 31 % YoY และมีกำไรสุทธิ 413 ล้านบาท เติบโต 83% YoY”

“การเติบโตของยอดขายในไตรมาส 3/2559 มีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจตราสินค้าของบริษัทฯ (Branded Business: Brand) และธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามสัญญาและรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing Business: CMG) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ ยอดขาย Brand ในประเทศยังคงเติบโตได้เล็กน้อย แม้ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มภายในประเทศชะลอตัวลง และยอดขาย Brand ในต่างประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่อง”

นางสาวรุ่งฉัตร กล่าวต่อไปว่า“บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจจากบริษัทที่ทำเพียงผลไม้และเครื่องดื่ม มาเป็นการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคอย่างเต็มตัว การมุ่งสู่ความเป็นผู้นำทางด้านสุขภาพจึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวบริษัทร่วมทุน บริษัท เมก้า มาลี จำกัด รับเมกะเทรนด์การใส่ใจเรื่องสุขภาพ (Health and Wellness) เพื่อพัฒนาธุรกิจใหม่ทางด้านผลิตภัณฑ์พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติ ทั้งสำหรับตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์แรกได้ประมาณครึ่งหลังของปี 2560”

นอกเหนือจากกลยุทธ์การมุ่งสู่ความเป็นผู้นำทางด้านสุขภาพ ตลาดต่างประเทศยังคงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างมั่นคง โดยบริษัทฯ เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวทั้งกับตัวแทนจำหน่ายและคู่ค้า เพื่อขยายธุรกิจ Brand ในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีการเติบโตสูง เช่น ฟิลิปปินส์ พม่า และกัมพูชา รวมถึงประเทศจีน โดยคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาดแต่ละประเทศ รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งรายใหม่และรายปัจจุบัน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายธุรกิจได้มากขึ้น