“หมอปิยะสกล”ยกแนวพระราชดำริ MOPH เป็นค่านิยมชาวสาธารณสุขถือปฏิบัติตามปณิธาน

27 ต.ค. 2559 | 09:10 น.
“หมอปิยะสกล” ยกแนวพระราชดำริ MOPH เป็นค่านิยมชาวสาธารณสุขถือปฏิบัติตามปณิธาน ด้าน“อภัยภูเบศร” ขอ รมว.สธ. 3 ข้อ ชี้หากข้อเสนอผ่านฉลุย ปั้นเมืองสมุนไพรสร้างรายได้ปีละพันล้าน

วันนี้(27 ตุลาคม 2559) ที่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วย นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร  ตรวจเยี่ยมติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ด้านสาธารณสุข สู่การปฏิบัติของเขตสุขภาพที่ 6 พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปแนวทางการพัฒนาสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร  จากนั้นได้เยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมอภัยภูเบศรเดย์สปา โรงงานผลิตสมุนไพรอภัยภูเบศรมาตรฐานจีเอ็มพี โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกอภัยภูเบศร พิพิธภัณพ์การแพทย์แผนไทยและร้านยาไทยต้นแบบ “ร้านโพธิ์เงินโอสถ”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีการถ่ายทอดอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน สอดประสานกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะแผน 1 ปี รัฐบาลได้มุ่งเน้นให้เป็นระยะเวลาของการวางรากฐานให้มั่นคง แข็งแรงที่สุด  และในห้วงเวลานี้ ขอให้บุคลากรสาธารณสุขทุกคน น้อมนำแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาเป็นแนวทางในการทำงาน โดยให้ถือเป็นค่านิยมของชาวสาธารณสุข คือ MOPH โดย M คือ Mastery เป็นนายตัวเอง O Originality เร่งสร้างสิ่งใหม่ P People Centered Approach ใส่ใจประชาชน และ H Humility ถ่อมตนอ่อนน้อม ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับประชาชนเพื่อถวายสักการะและถวายเป็นพระราชกุศล

“ขอให้บุคลกรสาธารณสุขทุกคน ยึดมั่นค่านิยมขององค์กร MOPH ให้ฝังแน่นอยู่ในจิตวิญญาณ ไม่ว่าเป้าประสงค์ เป้าหมายการทำงานจะเป็นอย่างไร การทำงานก็จะประสบสำเร็จ  ทำดีให้เกิดผล เกิดประโยชน์จริงให้ประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าว

นายแพทย์จรัญ บุญฤทธิการ  ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวรายงานถึงยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ว่าปัจจุบันโรงพยาบาลร่วมกับจังหวัดปราจีนบุรีและกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดทำ Herbal City เมืองสมุนไพรปราจีนบุรี ซึ่งนับว่าเป็น Quickwin ของการขับเคลื่อนแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ.2560-2564 เนื่องจากเมืองสมุนไพรเป็นกลไกที่เชื่อมร้อยทุกภาคส่วนให้เข้ามาทำงานร่วมกันในการพัฒนาสมุนไพรจากต้นทาง คือ  ภูมิปัญญาสมุนไพรที่มีในท้องถิ่น  นำมาผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยจนสามารถเกิดเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรและบริการที่มีคุณภาพ  ประสิทธิภาพและปลอดภัยที่ออกสู่ตลาด  และก่อให้เกิดรายได้แก่ประเทศได้  อันเป็นการย่อภาพใหญ่ของประเทศมาสู่จังหวัด

“ทั้งนี้จึงใคร่ขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลใน 3 ประเด็น เพื่อพัฒนาเมืองสมุนไพรปราจีนบุรีให้สามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรปีละไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท  โดยประเด็นที่ขอรับการสนับสนุน คือ 1.ขอให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาร่วมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เริ่มต้น  เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถขึ้นทะเบียนและออกสู่ท้องตลาดได้อย่างรวดเร็ว    2. ขอให้กระทรวงสาธารณสุขทำความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ในการดำเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาสมุนไพรตั้งแต่ต้นน้ำ  กลางน้ำ และปลายน้ำ  3. ขอให้รัฐบาลเร่งผลักดันให้มี พรบ.สมุนไพรแห่งชาติมีผลบังคับใช้ภายในปี 2560” ผอ.รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าว

ภญ.ดร.สุภาภรณ์  ปิติพร  รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร  โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร  ได้ขยายความถึงข้อเสนอ 3  ข้อนี้ว่า  ปัจจุบันแม้เราไม่ดำเนินการอย่างเข้มข้น  จังหวัดปราจีนบุรีก็มีรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรสูงถึงปีละ 500 ล้านบาท  แต่หากเราดำเนินการอย่างมียุทธศาสตร์  โดยวางแผนการตลาดให้ชัดเจน  รู้ว่าความต้องการหรือ demand ของแต่ละตลาดเป็นอย่างไร  เช่น  รู้ว่าลูกค้าในยุโรป  อเมริกา  หรือเอเชียมีพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างไร  ซึ่งตรงนี้เราคงต้องพึ่งทูตพาณิชย์ที่อยู่ในประเทศต่าง ๆ ในการหาข้อมูลหรือทำวิจัยตลาดให้เรา  สมุนไพรไม่เหมือนยาแผนปัจจุบันที่สร้างกำไรได้มาก  จึงมีบริษัทลงทุนวิจัยมากมาย  แต่สมุนไพรนั้นผู้รับประโยชน์หลักเป็นชาวบ้าน  เป็นเกษตรกร ซึ่งไม่มีทุนไปลงทุนในสิ่งเหล่านี้  จึงจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุน

“เมื่อทราบความต้องการตลาด  ฝ่ายผลิตอย่างพวกเราจะทราบว่าต้องผลิตอะไร  ดังนั้นจึงต้องการกระทรวงเกษตรฯ มาช่วยเรื่องเทคโนโลยีการปลูกและแปรรูปเบื้องต้น  ทำอย่างไรให้ได้ผลผลิตสูง เกษตรกรจะได้มีรายได้มาก  แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ เราต้องการ อย. มาเป็นภาคีร่วมเดินทางตั้งแต่แรก  มาให้คำแนะนำว่าควรผลิตอะไร  เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนได้  เพราะหากมีการปลูกสมุนไพร  มีวิจัย  แต่ขายไม่ได้ก็ไม่เกิดประโยชน์  เพราะเมืองสมุนไพรเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ทำสิ่งที่อยู่ในห้องทดลองให้ขายได้  ทำนวตกรรมให้ขายได้  ส่วน พรบ.สมุนไพรแห่งชาตินั้นก็จะเป็นการผ่าทางตันของการพัฒนาสมุนไพรในระยะยาว  ซึ่งในหลายประเทศเขาช่วงชิงโอกาสเหล่านี้ไปหมดแล้ว  หากทางรัฐบาลสามารถสนับสนุนในทั้ง 3  ข้อนี้ได้  เรามั่นใจว่าปราจีนบุรีบุรีเมืองสมุนไพรจะสามารถเพิ่มยอดขายเป็นหนึ่งพันล้านบาทได้ในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น” ภญ.ดร.สุภาภรณ์  กล่าว