สายพระโลหิตมหาราชา

23 ต.ค. 2559 | 00:30 น.
ราชวงศ์จักรีสถาปนาขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๓๒๕ โดยการปราบดาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งการเริ่มต้นของราชวงศ์นี้เรียกว่า “ยุครัตนโกสินทร์” หลังจากการสถาปนาราชวงศ์ราว ๗๐ ปีเศษ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศ์บริพัตรสิริวัฒนราชกุมาร พระราชโอรสองค์ที่ ๙ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชโอรสองค์ที่ ๑ ที่ประสูติแต่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ได้ทรงถือพระฤกษ์พระประสูติกาล ในวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู และต่อมาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

[caption id="attachment_107933" align="aligncenter" width="423"] พระปิยมหาราช พระปิยมหาราช[/caption]

ตลอดระยะเวลาของการครองราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่เพื่อพัฒนาสยามประเทศอย่างรอบด้าน สร้างพลังทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในราชวงศ์จักรีที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการ พระองค์เสด็จประพาสต่างประเทศครั้งแรกในปีพุทธศักราช ๒๔๑๓ โดยเสด็จฯเยือนประเทศสิงคโปร์และชวา (ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน) จากนั้นยังเสด็จฯเยือนประเทศอินเดียและพม่า นอกจากนั้นยังเสด็จประพาสยุโรปถึง ๒ ครั้ง เป็นผลให้พระองค์ได้ทรงพบเห็นและตระหนักในแบบแผนการเรียนรู้และการปกครองอย่างตะวันตก ตกผลึกเป็นแนวทางพัฒนาสยามประเทศอย่างรอบด้านเทียมทันกับนานาอารยประเทศนอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จประพาสหัวเมืองใหญ่ เพื่อสำราญพระราชอิริยาบถอย่างสามัญ  เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะมิให้ผู้ใดทราบว่าเสด็จฯไปที่ใดเป็นสำคัญ ทั้งเพื่อจะ
ทอดพระเนตรเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรและการปฏิบัติหน้าที่ของราชการอย่างแท้จริง และเรียกการประพาสเช่นนี้ว่า “ประพาสต้น”

[caption id="attachment_107934" align="aligncenter" width="500"] ประพาสต้น ประพาสต้น[/caption]

การเสด็จประพาสต้นบ่อยครั้งทำให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเป็นอยู่โดยแท้จริงของปวงประชาราษฎร์ เกิดเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา พลิกมิติการดำเนินชีวิตของประชาชนในสยามประเทศไปสู่การเป็นเสรีชนผ่านพระราชกรณียกิจอันใหญ่หลวงยิ่งอย่าง “การเลิกทาส” และ “การเลิกไพร่” อย่างถาวร

เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) ได้ให้สัมภาษณ์หนังสืออนุสาร อ.ส.ท. การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปีที่ ๒๒ ฉบับที่ ๙ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ ฉบับสมโภชน์กรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ว่า

“ชีวิตในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตอนนั้น บ้านเมืองของเราก็เจริญรุ่งเรืองไปเรื่อยๆ แต่มันช้าๆ ไม่รวดเร็ววูบวาบเหมือนสมัยนี้ มันเป็นยุคสมัยที่เก่ากำลังจะไปและใหม่กำลังจะมา โดยเฉพาะเรื่องประชาธิปไตย พระองค์ท่านเป็นประชาธิปไตยที่สุด และเป็นผู้ทรงตั้งต้น แต่พระองค์ท่านทรงทำอย่างผู้ใหญ่ พระทัยเย็น ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ทีละเล็กละน้อย ไม่ได้เปลี่ยนกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ อย่างเลิกทาสนี่ท่านยังต้องทรงทำเป็นสิบๆ ปี ไม่ได้หักโหมพรวดพราด”

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการยกย่องจากประชาชนทั่วทุกแว่นแคว้นในพระปรีชาสามารถว่า ทรงเป็นนักปกครองและนักการทูตที่ยิ่งใหญ่ ทรงตัดสินพระทัยพัฒนางานด้านต่างๆ ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล แม้ว่าการไหลเทของวัฒนธรรมตะวันตกจะเข้ามาคุกคามประเทศ แต่พระองค์ทรงยอมรับและทรงสร้างเป็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สยามประเทศก้าวสู่ความเจริญ ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงใช้วิจารณญาณในการประยุกต์อารยธรรมตะวันตกมาผสมผสานให้กับสังคมไทยอย่างมีชั้นเชิง โดยยึดถือ “ประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปวงชนชาวไทยจึงน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญานาม “พระปิยมหาราช” ซึ่งแปลความหมายว่า “มหาราชผู้ทรงเป็นที่รัก”

หลังการเสด็จสู่สวรรคาลัยเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ ได้ราว ๑๗ ปี พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์ที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรี ได้ถือพระประสูติกาลในวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีเถาะ “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” พระโอรสองค์ที่ ๓ ในหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) และสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระราชโอรสลำดับที่ ๖๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และลำดับที่ ๗ ในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี

จากเจ้าชายพระองค์น้อย สู่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” สายพระโลหิตแห่งจักรีวงศ์ สายตรงขององค์พระปิยมหาราชที่หล่อเลี้ยงพระวรกาย นับแต่การเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ พระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา การแจ้งประจักษ์ในพระราชหัตถเลขาถึงพระสหายเมื่อครั้งที่ยังทรงศึกษาอยู่ในยุโรปตอนหนึ่งว่า

“...ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ โดยการทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการอยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือ คนไทยทั้งปวง”

จึงปรากฏเป็นพระราชปณิธานสู่ปวงประชาราษฎร์ที่ว่า

[caption id="attachment_107932" align="aligncenter" width="500"] ปฐมบรมราชโองการ ปฐมบรมราชโองการ[/caption]

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”


นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงถือเอาทุกข์สุขของราษฎรเป็นทุกข์สุขของพระองค์เสมอมา พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ อันเป็นประโยชน์แก่ปวงชนชาวไทยตลอดพระชนมายุของพระองค์ และพระราชกรณียกิจที่เป็นภาพความทรงจำของคนไทยทั้งประเทศ ภาพที่ไม่อาจลืมเลือนแม้จะผ่านไปนับร้อย นับพันปี ตราบสิ้นอายุขัย คือภาพการเสด็จพระราชดำเนินทุกพื้นที่บนแผ่นดินไทย การเสด็จฯออกจากพระราชวังที่เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พร้อมไม่ต่างจากพระอัยกาธิราชเจ้า สู่การดำเนินพระองค์เยี่ยงสามัญ เพื่อเป้าหมายเพียงประการเดียวคือ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร และเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของปวงประชาราษฎร์ทั้งสิ้น

หัวใจมหาราชาที่เปี่ยมไปด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์มุ่งแก้ปัญหาราษฎรจากต้นเหตุ ทรงพระราชทานอาชีพ พระราชทานโอกาส พระราชทานแบบอย่าง และพระราชทานหัวใจที่มีพลังให้กับประชาชนทั้งประเทศ จนกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช คือเอกราชา ผู้ทรงเปรียบเสมือน “พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย” ทรงพระปรีชาสามารถในทุกแขนงวิชา ทรงรักและห่วงใยพสกนิกร และแก้ไขปัญหาต่างๆ ทรงริเริ่มจัดตั้งมูลนิธิต่างๆ
ทรงค้นคว้า วิจัย การทำฝนเทียม ด้านการเกษตร การชลประทาน การสาธารณสุข และอื่นๆอีกมากมาย ทรงส่งเสริมความรักและสามัคคีให้เกิดในชาติ ทรงดูแลทุกข์สุขประชาชนตลอดพระชนมชีพของพระองค์ และทรงเป็นพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงงานหนักมากที่สุดของโลก

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ๒ มหาราชาผู้ยิ่งใหญ่ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” และ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” ได้ประทับความจงรักภักดีครองดวงใจคนไทยทั้งชาติมิเสื่อมคลาย

ตลอด ๙ รัชกาลแห่งจักรีวงศ์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ต่างล้วนทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่บ้านเมืองเป็นอันมาก มิว่าการเปลี่ยนผ่านของแต่ละแผ่นดินจะเป็นเช่นไร