นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2567 พบว่า ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) เป็นกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง และมีอัตราการเติบโตสูงทั้งตลาดรถยนต์ในประเทศไทยและตลาดโลก เนื่องจากมีปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนหลายด้าน อาทิ ปัจจัยด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าและไฮบริดมากขึ้น
และจากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก พบว่า ช่วงปี 2563-2566 มีอัตราการจดทะเบียนรถประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 116.69% สอดรับกับปัจจัยด้านนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลที่ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปี 2573 ต้องมีรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์อย่างน้อย 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ประกอบกับการส่งเสริมแรงจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นด้วยการลดภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตลง ปัจจัยด้านสถานการณ์น้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจัยด้านฝุ่นพิษที่ทวีความรุนแรงขึ้น การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระยะยาว
จากการวิเคราะห์เชิงลึก พบว่า กลุ่มตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นนิติบุคคลไทยที่น่าสนใจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ
รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 5 ราย คิดเป็น 16.13% มูลค่าทุนจดทะเบียน 16 ล้านบาท และธุรกิจขนาด M จำนวน 4 ราย คิดเป็น 12.90% มูลค่าทุนจดทะเบียน 41 ล้านบาท
สัญชาติของผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 7,870.19 ล้านบาท รองลงมาคือไทย มูลค่าการลงทุน 3,137 ล้านบาท และอินเดีย มูลค่าการลงทุน 400 ล้านบาท
รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 21 ราย คิดเป็น 17.22% มูลค่าทุนจดทะเบียน 3,578.22 ล้านบาท และธุรกิจขนาด M จำนวน 16 ราย คิดเป็น 13.11% มูลค่าทุนจดทะเบียน 1,128.90 ล้านบาท
สัญชาติของผู้ถือหุ้นประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น มูลค่าการลงทุน 53,512.72 ล้านบาท รองลงมาคือไต้หวัน มูลค่าการลงทุน 7,108.25 ล้านบาท และไทย มูลค่าการลงทุน 4,864.84 ล้านบาท
รองลงมาธุรกิจขนาด S จำนวน 4 ราย คิดเป็น 44.44% มูลค่าทุนจดทะเบียน 53.88 ล้านบาท และธุรกิจขนาด L จำนวน 1 ราย คิดเป็น 11.12% มูลค่าทุนจดทะเบียน 376.57 ล้านบาท สัญชาติของผู้ถือหุ้นเป็นสัญชาติไทยทั้งหมด
“ไทยมีความพร้อมที่จะดึงดูดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยานยนต์เพื่อมุ่งเป้าให้ไทยเป็นศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต จากข้อมูลจะเห็นว่านักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ระดับโลกได้สนใจเข้ามาลงทุนในไทย ประกอบกับมีนักลงทุนสัญชาติจีนซึ่งเป็นผู้เล่นใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ก็มีแผนขยายฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยเช่นกัน
ซึ่งจะส่งผลดีต่อการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้ประเทศไทย เกิดการลงทุนและจ้างงานคนไทย แม้ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) จะดูมีอนาคตที่สดใส แต่ก็ยังมีความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้าเช่นกัน ทั้งการแข่งขันที่จะสูงขึ้น ดังนั้น ยังมีโอกาสในการลงทุนอีกมากและผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวให้ทันต่อความท้าทายดังกล่าวด้วย”
สำหรับการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Industry) ภายใต้ พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563-2566) มีจำนวน 14 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 22,134.80 ล้านบาท โดยเป็นนักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และ สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจนายหน้า/ค้าปลีก/ค้าส่ง (รถยนต์ไฟฟ้า/รถจักยานยนต์ไฟฟ้า/EV Battery) จำนวน 4 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 310.80 ล้านบาท