นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (มหาชน) เปิดเผยว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าหลายๆ อย่างขยับสูงขึ้นด้วย เรื่องการปรับราคาจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำ และทำไปแล้วบางส่วนตั้งแต่ต้นปี แบรนด์สินค้าของไทยยูเนี่ยนทั่วโลก ขณะนี้ทยอยปรับขึ้นไปแล้ว 5-7%
ส่วนการรับจ้างผลิต มีการปรับราคาตามออเดอร์การผลิตใหม่ มีความยืดหยุ่น เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับต้นทุน และสินค้าที่สูงขึ้น ยังเชื่อมั่นว่าไทยยูเนี่ยนสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ ในขณะที่การปรับราคาสินค้า ก็ถือเป็นความจำเป็นและเข้าใจได้ เพราะทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
สำหรับทิศทางธุรกิจของไทยยูเนี่ยน ในปี 2565-2568 บริษัทจะเดินหน้าภายใต้กรอบ Healthy Living and Healthy Oceans ภายใต้จุดแข็งคือ การเน้นนวัตกรรม และความยั่งยืน ทั้งในกลุ่มทูน่า แพลนเบสท์ รวมทั้งอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สำคัญ ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้น 17.9% เปอร์เซ็นต์ ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คนมีการใช้เวลาอยู่กับบ้านและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยบริษัทจะนำ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ทำธุรกิจด้านอาหารสัตว์เลี้ยง 100% เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในสิ้นปี 2565
แผนการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของไทยยูเนี่ยนต่อจากนี้ จะเน้นการทำกำไร และสร้างอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ด้วยงบการลงทุนราว 6 พันล้านบาท ไม่รวมการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ เพืื่อผลักดันให้ยอดรายได้รวมเติบโตเฉลี่ย 5% ในปีนี้
ส่วนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม การทำประมงที่ถูกต้องตามกฎหมาย การดูแลเรื่องแรงงาน ซึ่งถือว่าทำได้ค่อนข้างดีใน 3-4 ปีที่ผ่านมา ต่อจากนี้จะขยายความสำคัญไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก การลดก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้น โดยจะทำทั้งเรื่องแพคเกจจิ้งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถนำมารีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2568 และลด Food Waste ให้ได้ 50% ภายในปี 2568 เทียบปี 2564 โดยประมาณไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทจะประกาศเป้าหมายรวมของการมุ่งสู่ธุรกิจยั่งยืนอีกครั้ง