‘พาที สารสิน’ กางแผนฟื้น‘นกแอร์’

06 มี.ค. 2560 | 09:00 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มี.ค. 2560 | 13:11 น.
การขาดทุนปักโกรกในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.79 พันล้านบาทของสายการบินนกแอร์เกิดขึ้นจากสาเหตุใด ทำไมต้องเพิ่มทุน และการจะฟื้นธุรกิจให้กลับมามีกำไรจะคาดหวังได้แค่ไหนอ่านได้จากสัมภาษณ์นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินนกแอร์

 แจง 2 ปัจจัยขาดทุนอ่วม

พาทีเปิดใจว่า กว่า 13 ปีของการดำเนินธุรกิจของนกแอร์จะมีช่วงที่บริษัทมีผลประกอบการที่ขาดทุนอยู่ 2 ช่วง ช่วงแรก คือปี2550-2551 ที่เราเคยขาดทุนราว 600 ล้านบาท จากผลกระทบของน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงนั้น แต่ตอนนั้นนกแอร์ ดำเนินธุรกิจด้วยเครื่องบิน 10 ลำ และช่วงที่ผ่านมา คือ การขาดทุนในปี2558-2559 ที่เกิดขึ้น ซึ่งเทียบสเกลกันไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีเครื่องบินมากถึง 33 ลำจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากช่วงเหล่านี้นกแอร์ก็มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด

การขาดทุนในปี2559 ซึ่งอยู่ที่ 2.79 พันล้านบาท ซึ่งสูงมากหากเทียบกับปี2558 ที่ขาดทุนอยู่ 726.1 ล้านบาทนั้น เกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุหลัก คือ 1.ในปีที่ผ่านมานกแอร์ มีภาระค่าใช้จ่ายด้านการซ่อมบำรุงเครื่องยนต์อากาศยาน ซึ่งถึงรอบต้องซ่อมบำรุง 12 เครื่องยนต์ จากเครื่องบินราว 6-7 ลำ มูลค่าการซ่อมบำรุงก็เป็นหลักพันกว่าล้านบาทแล้ว ปัญหานักบินลาออก ทำให้ต้องลดเที่ยวบินลงให้เหมาะสม 2.ปัญหาการแข่งขันราคาตั๋วเครื่องบินเส้นทางบินในประเทศที่รุนแรง ปัจจุบันถือว่า เป็นตลาดแบบRed Ocean ส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนหรือกำไรต่อที่นั่ง(Yield)ของธุรกิจการบินลดลง โดยรายได้ต่อปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร(RASK) อยู่ที่ราว 1.8-1.9 บาทต่อที่นั่งต่อกม. จากในอดีตซึ่งอยู่ที่ 2.5-2.6 บาทต่อที่นั่งต่อกม. ปัญหานี้ทำให้เราเจอภาวะขาดทุนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

 โฟกัสรูตบินจีน-อินเดีย

ดังนั้นทิศทางการดำเนินธุรกิจจากนี้ พาที ย้ำว่า มีทิศทางที่ดี เพราะปัญหานักบินจบหมดแล้ว แผนการขยายเน็ตเวิร์ค ที่เรามุ่งเพิ่มสัดส่วนรายได้จากเส้นทางบินระหว่างประเทศให้เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมอยู่ที่20% รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายทั้งเราจะเพิ่มการใช้ประโยชน์ของเครื่องบิน (Aircraft Utilization) จาก 8 ชั่วโมงเป็น 10 ชั่วโมงโดยเฉพาะตลาดที่เป็น Blue Ocean

ประกอบกับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของประเทศ ก็ทำให้สายการบินมีผู้โดยสารใช้บริการมากขึ้น โดยปัจจุบันสายการบินมีอัตราการบรรทุกเฉลี่ยอยู่ที่ราว 89% ซึ่งดีกว่าปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 80%ซึ่งผมไม่ได้มองเรื่องวอลุ่มเพียงด้านเดียว แต่ปีนี้จะเน้นเรื่องการเพิ่มอัตราผลตอบแทนหรือกำไรต่อที่นั่งเป็นสำคัญ และการปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมและเพิ่มบริการเสริมต่างๆก็จะเพิ่มรายได้ให้กับสายการบินเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เรายังเตรียมจะเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ “นก ฮอลิเดย์” ที่ดีไซน์เป็นแพ็คเกจ รวมตั๋วเครื่องบิน ที่พัก รถรับส่งสนามบิน ที่จะเป็นทางเลือกในการขายให้กับลูกค้าได้เพิ่มขึ้น นอกจากการซื้อเฉพาะตั๋วเครื่องบินเพียงอย่างเดียว

การขยายเน็ตเวิร์คในต่างประเทศที่จะเกิดขึ้น เรามองไปที่อินเดีย จีน เนื่องจากเป็นตลาดที่มีดีมานด์การเติบโตในการเดินทางมาท่องเที่ยวไทยต่อเนื่องโดยมีแผนจะเปิดบินเข้าจีน และปรับแผนในเส้นทางจีน จากที่ผ่านมาเราเปิดเที่ยวบินเช่าเหมาลำเข้าหลายเมืองในจีน อาทิ เฉินตู ,หนานหนิง จากฮับที่สนามบินดอนเมือง,ภูเก็ตและเชียงใหม่ต่อไปเราจะปรับเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่บินเข้าจีน มาเป็นเที่ยวบินแบบประจำ เนื่องจากปีนี้สายการบินจะรับมอบเครื่องบิน737-800 เข้ามาเพิ่มเติมอีก 2 ลำ

 เพิ่มทุน 1.5 พันล้าน

จากแผนขยายเน็ตเวิร์คที่เกิดขึ้น ทำให้เราจึงทำเรื่องเสนอบอร์ดนกแอร์ ถึงแผนการเพิ่มทุน ซึ่งบอร์ดก็อนุมัติเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทอีกจำนวน 781.2 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 625 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 1,406.2 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 625 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering)และจำนวน 156 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท มูลค่ารวมไม่เกิน 1.5 พันล้านบาท ภายในเดือนมิถุนายนนี้

ทั้งนี้เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน/จัดสรรหุ้นเพิ่มทุน นกแอร์จะนำเงินมาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการขยายเส้นทางบิน ให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจของนกแอร์ สำหรับการขยายเน็ตเวิร์คในต่างประเทศ การเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเพียงพอกับแผนการใช้เงินดังกล่าว ซึ่งเป็นการขยายการลงทุน ที่จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้และผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น

 ยันไม่ทิ้งเก้าอี้นกแอร์

ซีอีโอ นกแอร์ ยังกล่าวว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นของนกแอร์ หลังการเพิ่มทุนในครั้งนี้ ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม โดยในส่วนของการบินไทย ในฐานะผู้ถือหุ้นในนกแอร์ 39% ก็จะลงทุนราว 1,200 ล้านบาท ซึ่งการขยายเน็ตเวิร์คของนกแอร์ ตามแผนธุรกิจที่เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ทางฝ่ายบริหารของนกแอร์ เสนอขึ้นไป ที่ผ่านการพิจารณาจากบอร์ดนกแอร์ ที่มีผู้บริหารของการบินไทยนั่งเป็นบอร์ดนกแอร์อยู่ 5 คน ก็เป็นสิ่งดำเนินการตามขั้นตอนแบบนี้มาโดยตลอด

ผมก็ยังบริหารนกแอร์ อยู่เหมือนเดิม ยังไงก็ไม่ทิ้งแน่นอน เพราะเราสร้างนกแอร์มาตั้งแต่แรก มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นตลาดคนละเซ็กเมนต์ และคนละฮับบินกับการบินไทย และสายการบินไทยสมายล์อยู่แล้ว และผมก็ยังต้องการให้นกแอร์ยังคงยืดหยัดได้ เพราะเราเป็นสายการบินโลว์คอสต์ สายเดียวที่เป็นของคนไทย 100%
ส่วนความร่วมมือระหว่างนกแอร์กับการบินไทยผมก็ไม่ได้คิดว่าเลวร้าย เขาก็ช่วยเราเท่าที่ช่วยได้ และสิ่งที่เรากับการบินไทยกำลังทำร่วมกัน คือ การโค้ดแชร์ผ่านระบบจีดีเอส ซึ่งก็กำลังดำเนินการอยู่ เพราะมีความเป็นไปได้ หลังจากบริษัทอมาดิอุสฯได้เข้าไปซื้อกิจการของระบบ Navitaire นั่นเอง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,241 วันที่ 5 - 8 มีนาคม พ.ศ. 2560