บล.KTBST ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (27 ก.พ. – 3 มี.ค.)ยังมีความผันผวน

27 ก.พ. 2560 | 04:00 น.
บล.KTBST ประเมินหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (27 ก.พ. – 3 มี.ค.) ยังมีความผันผวนจากปัจจัยเรื่องนโญบายภาษีทรัมป์ และการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และรอดูตลาดเน้นเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและผลการดำเนินงานดี คาดดัชนีฯสัปดาห์นี้ 1,550 - 1,593 จุด

ดร.วิน  อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (27 ก.พ. – 3 มี.ค.)เป็นสัปดาห์แห่งการรอคอยและผันผวน ทั้งนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อนายทรัมป์จะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมของสภาคองเกรสในวันอังคาร รวมทั้งการคาดการณ์ผลการประชุม FOMC ในอีก 2 สัปดาห์ จะเห็นได้ว่าทั้งสองเรื่องนี้ยังไม่ชัดว่าจะออกไปในทางใด จึงทำให้ตลาดผันผวนไปตามข่าวรายวัน หรือเมื่อมีความชัดเจนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

โดยทิศทางของตลาดเราให้น้ำหนักไปในทางลบมากกว่า เพราะโอกาสที่ตลาดจะมีข่าวบวกมากกว่านี้มีค่อนข้างน้อย คาดดัชนีฯสัปดาห์นี้ จะผันผวนในกรอบ 1,550 - 1,593 จุด โดยมีตัวแปรคือเรื่องนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ , ตัวเลข GDP สหรัฐฯ (28) , ความเห็นของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed , ตัวเลขส่งออกของไทย (28) ข่าวการเลือกตั้งของฝรั่งเศส หุ้นที่สนใจในสัปดาห์นี้ ได้แก่ TU , IVL , ADVANC , SPCG , ROBINS , AMATA , MEGA , WORK

ทั้งนี้ปัจจัยบวกต่อตลาดในช่วงนี้มีค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ต้องรอคอย เป็นผลให้ตลาดผันผวนและมีแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงเข้ามาในตลาด เราแนะนำให้รอดูทิศทางตลาดในวันที่ 29 หลังบริษัทในตลาดส่งงบการเงินครบแล้ว และเห็นผลของการกล่าวสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงควรพร้อมที่จะเพิ่มหรือลดพอร์ตเมื่อถึงวันนั้น หรือควรพร้อมที่จะ follow ตามตลาดนั่นเองแม้เราจะมองว่า SET Index จะยังมีโอกาสแตะระดับ 1,600 จุดในอีกไม่นาน แต่ด้วยปัจจัยต่างประเทศที่เข้ามาเป็นตัวถ่วง ซึ่งน่าจะใช้เวลาพอควรที่จะคลี่คลาย ทำให้เกิดแรงขายทำกำไรเข้ามาในตลาด สำหรับหุ้นที่เราให้ความสนใจ ที่อาจสวนกระแสตลาดได้ จะเป็นหุ้นที่มีผลการดำเนินงานออกมาดีเกินคาด หรือหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว แต่ควรเลี่ยงหุ้นที่นักลงทุนต่างประเทศถือครอง ยกเว้นจะเห็นการดีดกลับของตลาดหุ้น

สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อตลาดในมุมมองของ KTBST ได้แก่ 1.)  นโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งนี้ ในวันอังคาร (28) จะมีการประชุมร่วมระหว่างวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และจะเป็นการกล่าวแถลงต่อสภาคองเกรสเป็นครั้งแรกของนายทรัมป์ นับตั้งแต่ที่เขาขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ การประชุมครั้งนี้มีนัยยะตรงที่ตลาดกำลังจับตาดูนโยบายสำคัญ 2 นโยบายคือนโยบายลดภาษี และนโยบายการลงทุนในระบบสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นนโยบายที่กระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯโดยตรง และการพุ่งขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯนับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายนี้ หากมีการแถลงในเรื่องนโยบายภาษี หากรายละเอียดเป็นไปตามที่หาเสียงและถ้ามีการเผยรายละเอียดของแผนทำให้นักลงทุนมีความเชื่อว่าจะสามารถนำมาปฎิบัติได้จริงตลาดหุ้นสหรฐั ฯ (และที่อื่นๆ) น่าจะตอบรับในทางบวก แต่หากเป็นในทางตรงกันข้าม ก็อาจส่งผลลบต่อตลาดหุ้นได้และจะเป็นเหตุให้นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจต้องรอดูจนถึงเช้าวันพุธ (ตามเวลาในประเทศไทย)

2) Fed ส่งสัญญาณว่าพร้อมจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเดือน มี.ค. แต่ตลาดมองว่าการประชุมเดือน มี.ค. โอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็น 0.75-1.00% อยู่ที่ 38.0% เท่านั้น (ถ้าจะปรับขึ้นควรสูงกว่า 50%) เชื่อว่ายังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. แต่จะไปปรับขึ้นในเดือน พ.ค.แทน เนื่องด้วยสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed นั้นไม่มีความไม่ชัดเจนทำให้นักลงทุนอาจมีความอึดอัดและต้องมาจับสัญญาณที่จะเกิดขึ้นก่อนการประชุม ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ Fed ส่วนใหญ่เป็นกรรมการใน FOMC ด้วย จะมีการออกงานหรือกล่าวสุนทรพจน์ ถึง 5 ครั้ง ในรอบสัปดาห์นี้ คาดจะทำให้ตลาดหุ้นผันผวนได้มากพอควร

3) ราคาน้ำมันดิบ WTI นั้นดูแข็งแกร่งขึ้นหลัง OPEC และผู้ผลิตรายใหญ่อีก 5 ประเทศ ในการประชุม Technical Meeting ของผู้ผลิตน้ำมัน 5 ประเทศ เมื่อกลางสัปดาห์ก่อน สรุปว่าการลดกำลังการผลิต OPEC ทำได้ 90% ของปริมาณตามที่ตกลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ Non-OPEC ทำได้ 60% ของปริมาณตามที่ ตกลง 0.56 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยทาง OEPC ให้คำมั่นว่าจะทำได้ 100% ตามที่ตกลงกัน ทำให้มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะขยับเข้าใกล้  $55 เหรียญ มีมากและเร็วขึ้น  เราประเมินว่าราคาสินค้าหรือราคาหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจัยบวกมีอยู่แต่ปัจจัยของตลาดโดยรวม จะเป็นตัวชี้ทิศทาง ถ้าตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ดีราคาหุ้นหรือราคาผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะดีตามไปด้วย

4) กำหนดส่งงบการเงินวันสุดท้าย คือ 28 ก.พ. (อนุโลมถึง เช้า 29 ก.พ.) แม้บริษัทขนาดใหญ่จะรายงานผลประกอบการไปแล้ว แต่คาดนักลงทุนจะให้ความสนใจกับหุ้นส่วนที่เหลือของตลาด เนื่องจากเป็นไตรมาสแรกที่บริษัทในตลาดให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการดาเนินงานค่อนข้างน้อย ด้วยข้อจำกัดของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ ค่า P/E ของตลาด ณ 24 ก.พ. อยู่ที่ 18.14 เท่า ประเมินจากจุดนี้ คาดเมื่อรายงานกาไรสิ้นสุดลง ค่า P/E จะลดลงเหลือ 17.5 – 18.0 เท่า หรือกำไรต่อหุ้นของตลาด (SET) ที่ 88 บาท